ธรรมะจากเด็กน้อยวัยสองขวบที่ชื่อว่า เด็กชายข้าวปั้น


ข้าพเจ้าได้พบกับข้าวปั้นครั้งแรกตอนเขาอายุไม่กี่เดือน  ตอนเราเจอกันครั้งแรกเขามองข้าพเจ้าตาเป๋ง เราสบตากันชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปิดเผยและจริงใจที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยพบเจอมา รอยยิ้มของเด็กๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เมื่อเขายิ้มเขาจึงยิ้มอย่างจริงใจและเปิดเผย  ในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้ว่า  ใจเขานั้นเบิกบาน เขาไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า ไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจดีหรือไม่  ดีเลวประการใด  เพียงแต่เขาชอบใจเขาก็ยิ้ม

 

การที่เราได้เห็นเด็กเล็กๆ อย่างใกล้ชิด และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก  และไม่ช้าไม่นานข้าพเจ้าก็พบว่าเด็กน้อยคนนี้มีธรรมะมาสอนข้าพเจ้าด้วย  ธรรมะที่แสดงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา  เบื้องต้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ  เขาได้แสดงความสืบเนื่องให้ข้าพเจ้าเห็น  เขากำลังแสดงธรรมอยู่

 

เมื่อลืมตาดูโลก เขาคือเด็กทารกตัวน้อยๆ  เขามาจากครึ่งหนึ่งของพ่อกับอีกครึ่งหนึ่งคือของแม่  เขาได้ร่างกายอันใหม่เอี่ยม พร้อมกับสมองอันใหม่เอี่ยมที่กำลังเริ่มต้นเรียนรู้และจดจำ  ในทางพุทธแล้ว สิ่งที่มากับร่างกายอันใหม่เอี่ยมนี้ คือจิต   ที่ครั้งหนึ่งอาจจะเป็นจุติจิตของใครสักคนเมื่อนานมาแล้ว กลายเป็นปฎิสนธิจิตรวมกับเซลต้นกำเนิดในครรภ์มารดา   แล้วเขาก็เติบโตสืบเนื่องมาในท้องแม่ จากนั้นก็ถือกำเนิดเกิดมา  นี่เป็นวันสืบเนื่องของเขา เขาได้ชื่อจริง ชื่อเล่น  ได้มีการบันทึกไว้ว่ามีเขาปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม  เด็กน้อยคนนี้มีชื่อเล่นๆ ว่าข้าวปั้น  เขาเป็นหลานของข้าพเจ้าเอง

เบื้องต้นที่ลืมตาดูโลก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร และชื่อเรียกว่าอะไร  น้องชายข้าพเจ้าบอกว่า  ข้าวปั้นเพิ่งจะรู้ไม่นานมานี่เองว่า ตนเองชื่อว่าข้าวปั้น  ตอนนี้เมื่อเขาจะแนะนำตัวเองเขาจะเอามือทาบไว้บนหน้าอกตัวเองแล้วบอกว่า  " ปั้น "  เขากำลังเรียนรู้เรื่องสมมติบัญญัติอยู่

สมมติบัญญัติในทางโลก คือสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ สมองอันใหม่เอี่ยมกำลังบันทึกความจำไว้ว่า เขาชื่อว่าอะไร  พ่อ แม่ ป้า ตา ยาย  ปู่  ย่า คือใคร   สิ่งนี้เรียกว่า  ช้อน  จาน  แก้วน้ำ   นั่นคือหนังสือ  นี่คือทีวี  นี่คือรถ  เขากำลังเรียนรู้  เราทั้งหลายก็เคยเป็นเช่นนั้น  ข้าพเจ้าว่าเขาไม่มีคำว่าตัวกูของกู แต่ในไม่ช้าเขาจะมี  หลานชายข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องศักดิ์ศรี  เรื่องความมีความเป็นอะไร  เขาไม่คิดว่าตัวเองสำคัญอะไรด้วยซ้ำ เขาไม่รู้เอาเลย  พอจะเข้านอน น้องชายข้าพเจ้าบอกให้เขาไปลาป้า ลายายเพื่อเข้านอน เขาก็ไป บางทีก็ลาแบบขอไปที  พอให้ไปลาพี่มูมู่  ลุงเฉาก๊วย ซึ่งเป็นหมาน้อยสองตัวที่เราเลี้ยงไว้ เขาก็ไปลา  บางทีเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความแตกต่างระหว่างหมาน้อยกับคนนั้นต่างกันยังไง   เขาไม่มีความคิดเห็นใดๆต่อเรื่องนี้เป็นแน่  แถมถ้ามีใครมาด่าว่าเขา โดยเปรียบเทียบว่าเป็นพวกเดียวกับเจ้าหมาน้อยสองตัวนี่ เขาคงไม่โกรธอะไร  เขายังเล็กเกินไปที่จะติดยึดสมมติบัญญัติว่านี่คือคน นั่นคือหมาน้อย   แถมไม่ได้แยกชนชั้นภพภูมิอะไร บางวันข้าพเจ้าเห็นเขาพยายามจะเข้าไปอยู่กับเจ้ามูมู่ในบ้านหมาหลังเล็กๆที่เรามีไว้ให้มันด้วยซ้ำ  แต่โดนเจ้ามูมู่ขู่ไล่ไม่ยอมให้เข้าไป แถมไม่ยอมเล่นด้วย 

 

การเจริญเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ข้าพเจ้ายังจำวันที่เขาเริ่มหยิบจับอาหารเข้าปากด้วยตัวเองได้ดี  วันนั้นเราลองปั้นข้าวเหนียวปั้นเล็กๆ ให้เขาถือไว้  เด็กชายข้าวปั้นใช้มือน้อยๆ ถือข้าวเหนียวปั้นนั้นไว้ แล้วเขาก็มองสิ่งที่อยู่ในมือสักครู่ จากนั้นเขาจะค่อยๆ กะระยะในการขยับมือ เอาข้าวเหนียวปั้นนั้นเข้าปาก  เมื่อเราลองปั้นข้าวเหนียวปั้นเล็กๆ ให้เขาใหม่  เขาก็ทำดังเดิม เขาเหมือนกำลังเจริญสติพิจารณาอาหารก่อนจะกินทุกครั้ง  เขาต้องคอยกะระยะทุกครั้งในการหยิบอาหารเข้าปากตัวเอง  เขากำลังเรียนรู้ที่จะใช้มืออยู่  เราก็เคยเป็นดังนั้น เพียงแต่ปัจจุบันเราไม่ต้องกะระยะ เราหยิบอะไรต่อมิอะไรเข้าปากไปเรื่อยตามใจอยาก และไม่เคยพิจารณามันด้วยซ้ำ เราเคยช้าและงุ่มง่ามเหมือนเด็กน้อยคนนี้มาก่อน  การกินได้ด้วยตัวเอง เรายังต้องเรียนรู้  การหยิบจับช้อนเราก็ต้องเรียนรู้  การที่เราเจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราต้องเรียนรู้มากมาย  ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับทำอะไรได้เองหมด  เราทั้งหลายเมื่อแรกเกิดมาจึงไม่ได้ต่างกันเลย  และก่อนจะยึดมั่นถือมั่นในสมมมติบัญญัติทั้งหลาย  ข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า  อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครต่างจากใคร  เมื่อเริ่มต้น  แม้ใครสักคนจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยปานใด  เขาก็ต้องเริ่มต้นเรียนเบสิกพื้นฐานเหมือนๆกัน  คือการคลาน การเดิน การกิน การหยิบจับ  และอื่นๆ

 

วันที่ข้าวปั้นดูจะมีความสุขมากที่สุด คงเป็นวันที่เขาเดินได้คล่อง และเริ่มวิ่งได้  ความสุขของเขาก็คือการได้วิ่ง  เดินไปสลับวิ่งไป แล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข  บางทีเราก็ห่วงว่าเขาจะล้มหัวฟาด แต่ก็ต้องปล่อยให้เขาวิ่ง  พอล้มเราจึงต้องใจแข็งดูห่างๆก่อน  เราปล่อยให้เขาลุกขึ้นเอง จากนั้นก็ค่อยปลอบ   พ่อของข้าวปั้นเรียนรู้ที่จะทำแบบนั้น และบอกว่า ถ้าไปปลอบตลอดเวลาที่เขาล้ม ข้าวปั้นจะติดนิสัย และไม่อดทน  ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย  การที่เขาวิ่งไปหัวเราะไปข้าพเจ้าก็ตระหนักรู้ว่า  ความสุขของเด็กน้อยคนนี้เป็นความสุขที่ง่ายดายมาก เราเสียอีกที่ไม่เห็นว่าการเดินได้ การวิ่งได้ การกินเองได้ เป็นที่สิ่งมหัศจรรย์  เราไม่เห็นความสำคัญของมันอีกแล้ว  จนสักวันที่เราล้มป่วย เราแก่เฒ่าชราภาพไปแล้วนั่นแหละเราถึงจะนึกได้  ว่าการเดินได้เอง การกินได้เองมันดีวิเศษแค่ไหน 

สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่  คงอยากให้ลูกเติบโตขึ้นเพื่อเป็นนั่นเป็นนี่อะไรสักอยาก  แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว  เมื่อมองความบริสุทธิ์และผ่องใส  สภาพจิตใจที่ยังไม่ถูกหุ้มห่อปรุงแต่งของข้าวปั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้แต่อธิษฐานว่า ถ้าข้าวปั้นมีบุญอยู่เดิม ขอให้เขาได้มีโอกาสเข้าสู่พุทธศาสนา  ได้มีโอกาสปฎิบัติสมาธิภาวนาตั้งแต่ยังอายุน้อย  แถมแอบคิดในใจว่า  ถ้าเขาได้บวชแต่เล็กแต่น้อย เป็นสามเณรน้อย เป็นพระ แล้วปฎิบัติสมาธิภาวนา เป็นผู้สืบทอดพุทธศาสนาน่าจะเป็นเรื่องดี  อันนี้ทางพ่อแม่ของเขาคงไม่ได้คิดเช่นนั้น  แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วเด็กน้อยคนนี้จะอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์มาก  ก็คือการเข้าเรียนรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เรียนรู้เรื่องการดับทุกข์   น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าไม่อยากให้หลานตัวเองเป็นหมอ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนร่ำคนรวย เพราะข้าพเจ้ามองเห็นว่า เหล่านั้นคือสมมติบัญญัติ ไม่ได้มีคุณค่ามากมายเท่าการได้เรียนและปฎิบัติสมาธิภาวนาเพื่อการหลุดพ้นในวัฏฎะสงสารนี้

ในสภาพสังคมปัจจุบัน โลกเสื่อมลงเรื่อยๆ ในด้านจริยธรรม การเป็นพ่อเป็นแม่ในขณะนี้ค่อนข้างทุกข์ไม่น้อย  มีพ่อแม่หลายๆ คนต้องคอยปกป้องดูแลลูกๆ โลกข้างนอกมันอันตรายและเต็มไปด้วยสิ่งน่ากลัว หลายครอบครัวจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องลูก ต้องคอยไปรับไปส่ง คอยดูแลทุกฝีก้าว  แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่า เราควรจะติดอาวุธทางปัญญา ว่าด้วยคำสอนของพระพุทธองค์มากกว่า  เด็กๆ ต้องเรียนรู้เรื่องการเจริญสติ การปฎิบัติธรรม  เมื่อเขาเรียนรู้เรื่องนี้จิตใจเขาจะไม่หวั่นไหว และเมื่อเจอความทุกข์พระธรรมคำสอนจะช่วยเขาได้

ท่านผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวว่า ในการปฎิบัติธรรมเด็กๆ จะบรรลุธรรมง่าย  จิตใจของเขาจะเข้าสู่ธรรมะได้ง่าย เพราะไม่มีสิ่งปรุงแต่งมาก จิตเขามีความเป็นพุทธะอยู่แล้ว แถมยังใสสะอาด ไม่แบ่งแยก ไม่มากไปด้วยความคิดเห็นหรืออคติใดๆ   เขาจีงเรียนรู้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ และทิ้งสมมติบัญญัติได้ง่ายกว่า  คำว่าตัวกูของกูมีน้อยกว่าเรา

ในอนาคต ข้าพเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่า หลานชายข้าพเจ้าคนนี้จะเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เขานำมาด้วยนั้นเราไม่อาจจะรู้ได้ เขาอาจจะมีกรรมทั้งที่ดีและไม่ดีติดตัวมา แต่ข้าพเจ้ามองว่า เราสร้างเหตุที่ดีใหม่ๆให้เขาได้  และเขาก็มีโอกาสมากมาย เนื่องจากด้วยวัยเพียงสองขวบของเขา นี่แหละ  ตอนข้าพเจ้าไปเข้าปฎิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่เขาก็ไปส่ง  ภาพที่เขาเห็นคนนุ่งขาวห่มขาวและพระพุทธรูปจะเข้าไปอยู่ในระดับภวังคจิตของเขาได้  เมื่อไปวัดพระธาตุศรีจอมทองเมื่อเดือนที่แล้ว เขาก็ไปด้วย  เราได้กราบพระอาจารย์ทอง สิริมังคโล และถวายสังฆทานกับท่าน แม้จะด้วยเวลาอันน้อยนิด หลวงพ่อทองท่านยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วก็ใช้ตาลปัตรที่ท่านถือในมือเคาะเบาๆ ที่หัวเด็กชายข้าวปั้นสามครั้ง  เขาไม่ร้องไห้หรือตกใจอะไร แต่ยืนงงมองตามหลวงพ่อทองไปจนลับตา หลังจากโดนเคาะหัวด้วยตาลปัตร  ข้าพเจ้านึกภาวนาให้เขาจำวันนี้ให้ได้  จำหลวงพ่อทองได้และจำผ้าเหลืองได้  

  ก่อนหน้านั้นเขาเคยไปส่งข้าพเจ้าที่วัดอุโมงค์ ตอนนั้นข้าพเจ้าจะไปปฎิบัติธรรมกับครูตั้ม  เมื่อข้าวปั้นเข้าไปในรั้ววัด เขาเดินแหงนคอตั้งบ่ามองดูต้นไม้สูงใหญ่ในวัดแล้วก็ยิ้ม  ท่าทางเขาตื่นตาตื่นใจมากที่ได้เห็นต้นไม้สูงใหญ่   และไม่ยอมกลับกับพ่อ  แถมจับมือข้าพเจ้าไว้แน่น เดินตามแจ   จนกระทั่งครูตั้ม-วิจักขณ์เดินเข้ามา  เขามองครูตั้มอย่างอายๆ  ครูตั้มเลยเข้ามาทักทายเด็กชายข้าวปั้นเล็กน้อย  ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่เขาได้พบกับครูตั้ม ไม่รู้ว่าทำไม ??  

 สักวันถ้าเขาโตกว่านี้  ถ้าหลวงพี่หมู่บ้านพลัมมาเชียงใหม่ ข้าพเจ้าจะพาเขาไปพบ  ให้มีสักครั้งที่เขาจะได้มีโอกาสเดินสมาธิกับหลวงพี่  นี่คงเป็นสิ่งดีๆสำหรับเขา  ข้าพเจ้ากำลังพยายามติดอาวุธทางธรรมให้เขา  นี่เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ  สำหรับลูกหลานของเรา  เมื่อเขามีธรรมะประจำใจ มีสติกำกับในการใช้ชีวิต  เราก็จะหมดห่วงและวางใจได้

แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องเริ่มต้น  ล่าสุดน้องชายข้าพเจ้ามาเล่าว่า  ข้าวปั้นเริ่มแนะนำตัวเองได้  แถมเล่าว่า  เมื่อวันก่อนเขานั่งรถมากับพ่อ ด้วยความซุกซน นั่งไม่นิ่ง จะปีนป่ายในรถ แถมไม่ยอมคาดเข็มขัด น้องชายข้าพเจ้าจึงดุเขาว่า 

 " ข้าวปั้นถ้าลูกไม่นั่งนิ่งๆ ลูกจะถูกไล่ลงจากรถ และพ่อจะไม่ให้ไปด้วยแล้ว เข้าใจไหม๊ "

เด็กชายข้าวปั้นพอได้ยินดังนั้น และเห็นท่าทางเอาจริงของพ่อ จึงเกิดความกลัว เลยยอมนั่งนิ่งๆ มาในรถสักพัก และโดยไม่คาดฝันอยู่ๆเขาก็พูดออกมาว่า

 " ปั้นเจ็บ "

ผู้เป็นพ่อตกใจนึกว่าตอนเขาซน ตัวเขาไปกระแทกกับอะไร จึงถามว่า

"เจ็บตรงไหนลูก ข้าวปั้นไปกระแทกอะไรรึเปล่า "

เด็กน้อยยกมือขึ้นมาทาบตรงกลางอกแล้วบอกว่า

"ปั้นเจ็บ"  เขากำลังทำท่าทำทางบอกว่าเขาเจ็บตรงหัวใจ เพราะถูกดุ

ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน  พอได้ยินเรื่องเล่านี้ ข้าพเจ้าก็อดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

ในที่สุดเด็กชายข้าวปั้นก็เริ่มมีตัวกูของกูเกิดขึ้นเสียแล้ว.. เขาเริ่มรับรู้ว่านี่คือเจ็บปวดใจ และคนที่เจ็บก็คือตัวเขา  แต่เขายังไม่มีความยึดมั่นถือมั่นที่รุนแรงสักเท่าไหร่ เพราะอีกสักพักเขาก็ลืมความเจ็บที่ใจหลังจากโดนพ่อดุ   หันกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ แล้วก็เล่นนั่นเล่นนี่ตามประสาเด็กสองขวบเช่นเดิม. 

คำสำคัญ (Tags): #พุทธตัวน้อยๆ
หมายเลขบันทึก: 234632เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2009 15:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • สวัสดีค่ะ
  • หลายน่าตาน่ารักน่าชังจังเลยค่ะ
  • มีความสุขทุกๆวันนะคะ

เขียนดีจังเลยพี่ยา

สวัสดีค่ะคุณเทียนน้อย

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ  ขอให้มีความสุขทุกๆวันเช่นกันค่ะ

 

หวัดดีจ้าหมอนิด

ขอบคุณสำหรับคำชมจ้า  แต่ข้าวปั้นเป็นแรงบันดาลใจ ให้เขียนถึง ( เขามาสอนธรรมพี่จริงๆนะ ขอบอก )

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท