คำจำกัดความงานสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ในศตวรรษ ที่ 21
โดย สมาพันธ์นักสังคมสงเคราะห์นานาชาติ
ผ.ศ. โสภา อ่อนโอภาส
การที่จะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ชัดเจนต้องเริ่มทำความเข้าใจกับความหมายของสิ่งนั้นๆ ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน งานสังคมสงเคราะห์เริ่มต้นจากงานอาสาสมัครช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนกลายเป็นวิชาชีพสังคมสงเคราะห์มีผู้ที่ปฏิบัติงานในหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ในแต่ละประเทศมีวัฒนธรรมความเชื่อรวมทั้งปัญหาสังคมที่แตกต่างหลากหลายและแม้มีบางส่วนคล้ายคลึงกันก็ควรต้องเริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความหรือความหมายที่มีพื้นฐานร่วมกัน
สมาพันธ์นักสังคมสงเคราะห์นานาชาติได้มีมติรับความหมายใหม่ของงานสังคมสงเคราะห์ ในงานประชุมที่ มอนทรีล ประเทศแคนนาดา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2000 โดยใช้แทนความหมายเดิมของปี 1982 ขณะเดียวกันสมาคมสถาบันการศึกษาสังคมสงเคราะห์นานชาติให้มีมติยอมรับการใช้คำจำกัดความดังกล่าวร่วมด้วยในการประชุม เดือนมิถุนายน ปี 2001 ที่กรุงโคเปนเฮเกน
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงความหมาย
ปรากฏการณ์ “โลกาภิวัฒน์” เป็นเบื้องหลัง ของการเปลี่ยนแปลงความหมายของคำว่าสังคมสงเคราะห์ โลกาภิวัฒน์เป็นแนวคิดที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีการพูดถึงตลอด 25 ปีที่ผ่านมา Midgley ให้ความหมายของโลกาภิวัตน์ว่า คือ “กระบวนการบูรณาการของโลกที่มีความหมายหลากหลายของประชากร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และกระบวนการทางการเมืองที่ได้รับอิทธิพลระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น” ปัจจัยความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมที่มีความซับซ้อน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลซึ่งกันและกันในทุกระดับทั่วโลก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานสังคมสงเคราะห์ มีหลายบทบาท โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสังคม ซึ่งมุ่งเน้นการผสมกลมกลืนกันระหว่างเศรษฐกิจกับนโยบายสังคมในมุมมองของMidgleyการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีการหลอมรวมและบูรณาการที่ยั่งยืนและนำประโยชน์ให้แก่คนทุกคน ส่วนสวัสดิการสังคมการเป็นการหันเหสู่แนวคิดสู่การลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในการระบบเศรษฐกิจการผลิต
ฉะนั้นในปัจจุบันนักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติงานในโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น ต้องเข้าใจแรงกดดันของโลกาภิวัฒน์ เศรษฐกิจ ระบบนิเวศ และสังคม ซึ่งเชื่อมโยงเข้าสู่เพื่อนร่วมงานระหว่างประเทศและต้องนำเสนอตัวเองอย่างเป็นทางการในวงจรงานระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงนักสังคมสงเคราะห์จะต้องให้บริการกับผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่น ผู้เคลื่อนย้ายแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้ที่ได้รับผลจากข้าวยากหมากแพง สงคราม การก่อการร้าย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งโอกาสในการมีส่วนร่วมของนโยบายระหว่างประเทศมากขึ้น Malcom Payne กล่าวว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองของนักสังคมสงเคราะห์ที่จะต้องมีความรู้และทักษะสามารถทำงานได้กับคนทุกมุมโลก
คำจำกัดความใหม่
“วิชาชีพสังคมสงเคราะห์” ส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ของมนุษย์ เสริมพลังและส่งเสริมเสรีภาพของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และระบบทางสังคม งานสังคมสงเคราะห์ต้องเข้าแทรกแซงช่วยเหลือในจุดที่คนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของเขา สิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมทางสังคมเป็นหลักการพื้นฐานในงานสังคมสงเคราะห์
คำอธิบาย
การเลือกแนวคิดรวบยอดสำคัญมาใช้ในการกำหนดคำจำกัดความข้างต้นสามรถอธิบายได้ดังนี้
การที่วิชาชีพสังคมสงเคราะห์จะสามารถช่วยเหลือคนได้ทั่วทุกมุมโลก ต้องมีการปฏิบัติงานที่หลากหลายจากงานสังคมสงเคราะห์คลินิก งานสังคมสงเคราะห์เอกชน จนถึงการจัดระเบียบชุมชนการวางแผนและนโยบายสังคม และพัฒนาสังคม แรกๆยังมีความกังวลว่าวิธีการที่แยกออกเป็นส่วนๆนี้จะผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่ สิ่งทีผุดขึ้นมาคือเรื่องแนวคิดหลัก เรื่อง “คนในสภาวะแวดล้อม” (person-in-environment) ที่ประชุมเห็นพร้องกันว่าแนวคิดหลักสากลของสังคมสงเคราะห์ คือ การเข้าแทรกแซงช่วยเหลือคนกับสภาวะแวดล้อมของเขาทั้งด้านกายภาพและสังคม ขอบเขตของการทำงานมุ่งที่เน้นช่วยเหลือคนกับคนและสิ่งแวดล้อม นักสังคมสงเคราะห์ใช้แนวคิดแบบองค์รวมพิจารณาความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งแวดล้อมของเขา ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีผลกระทบทั้ง 2 ทิศทาง คือคนได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำเสีย อากาศเป็นพิษ หรือนโยบายสังคมที่กดดันครอบครัวกับการทำงาน ในขณะเดียวกันยังต้องมีศักยภาพในการเปลี่ยนภาวะแวดล้อมของเขาให้เหมาะสม ซึ่งต้องใช้ทักษะสำคัญคือ การเสริมพลังให้บุคคล ชุมชนเข้มแข็ง
แนวคิดหลักอีกประการ คือ การทำให้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นพันธกิจพื้นฐานของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ UNESCO ให้ได้ความหมายของความเป็นอยู่ที่ดีคือ“ภาวะของการประสบความสำเร็จที่แสดงออกมาได้ตลอดทั้งชีวิตซึ่งรวมทั้ง กาย สติปัญญา สังคม อารมณ์” ซึ่งมีผลมาจากกิจกรรมสร้างสรรค์โดยวัฒนธรรมชุมชน เติมเต็มความสัมพันธ์ในสังคม ความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ในทางรูปธรรมความเป็นอยู่ที่ดีอาจเป็นความรู้สึกพึงพอใจต่อตนเอง
สังคมสงเคราะห์วิชาชีพ
ตลอดศตวรรษที่ผ่านมามีการถกเถียงกันว่าสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพเต็มตัวหรือเป็นเพียงแค่กึ่งวิชาชีพ ในปัจจุบันนี้มีการเสนอว่าสังคมสงเคราะห์เป็นกลุ่มวิชาชีพมากกว่าจะเป็นวิชาชีพที่มีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว European Journal of Social Work ให้ความหมายว่า Social Profession รวมเอา Social Worker กับ Social Pedagogues ที่ประชุมมีมติว่าสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่รวมเอา Social Pedagogues ไว้ด้วย
กิจกรรมงานสังคมสงเคราะห์
ที่ประชุมได้มีมติในเบื้องต้นว่าจะให้คำจำกัดความที่วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ที่มีลักษณะร่วมกันของทุกมิติทุกกลุ่มเป้าหมาย จึงได้เริ่มต้นว่าวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากที่ทราบกันดีแล้วว่าสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นจาก 2 แหล่งที่แตกต่างกันแต่มีพัฒนาการร่วมกันมาในปลายศตวรรษที่ 19 คือ เริ่มต้นในอังกฤษแล้วเจริญมาในสหรัฐอเมริกา จากองค์กรการกุศล ที่มีผู้เยี่ยมฉันมิตรซึ่งเป็นต้นกำเนิดของงานสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย และกระบวนการตั้งถิ่นฐานในชุมชนเริ่มจาก ลอนดอน ที่ Toynbee Hall โดย Samuel and Henerictta Barnett ในปี 1885 ซึ่งได้มีแรงบันดาลใจให้ Jane Addams แห่งสหรัฐอเมริกา ตั้ง Hull House ใน Chicago จนกระทั่งได้รับรางวัลในสาขาสันติภาพในปี1931 Addams และ Hull House เป็นตัวแทนของปฏิบัติการสังคมในระดับชุมชนของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์
งานทั้ง 2 ลักษณะนั้นมีพัฒนาการต่อเนื่องจนกลายเป็นวิชาชีพ จากการให้บริการตรงซึ่งมุ่งเน้นการช่วยเหลือปัจเจกบุคคลและกลุ่มเล็กๆ เป็นสำคัญ ในขณะที่อีกลักษณะหนึ่งทำงานในลักษณะงานชุมชน การปฏิบัติการสังคมและการเคลี่อนไหวการเมือง การทำนโยบายสังคม ด้วยเบื้องหลังดังกล่าวที่ประชุมจึงเลือกวลีว่า “การส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” ซึ่งตีความได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือคนกลุ่มเล็กได้เท่าๆกับการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางสังคมและอ้างอิงจากการที่กล่าวมา นักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงที่พบได้ทั่วไปในการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับงานสังคมสงเคราะห์
การแก้ไขความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็มาจากแนวคิดความเปลี่ยนแปลงทางสัมคม ปี 1957 Helen Harris Perlman จากมหาวิทยาลัย Chicago ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Social Casework : A Solving Process.เธอใช้งานสังคมสงเคราะห์เฉพาะรายในความหมายการแก้ไขปัญหา ในยุคต่อมา Comptan และ Galaway ก็ใช้การแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานเกี่ยกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่รวมทั้ง ระหว่างบุคคล คู่ ครอบครัว เพื่อน ระบบกลุ่ม เชื้อชาติ เพศ และทั้งสังคม ซึ่งในที่ประชุมใช้วลี”การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ของมนุษย์”นั้นการแก้ไขต้องรวมทั้งกิจกรรม การรักษา บำบัด ฟื้นฟู ทั้งระดับจุลภาคและระดับมหาภาค
ส่งเสริมการเสริมพลังและเสรีภาพของบุคคลเป็นกระบวนการสำคัญของสังคมสงเคราะห์ ทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้วมักเข้าใจว่างานสังคมสงเคราะห์เกี่ยวข้องกับคนจน คนอ่อนแอ คนถูกกดขี่ คนไร้พลังอำนาจ ฉะนั้นเป้าหมายของการเสริมสร้างพลัง คือการที่ช่วยให้คนเหล่านั้นมีความสามารถจัดการกับชีวิตของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือในระดับกว้างการเสริมพลังเป็นกระบวนการเพิ่มอำนาจส่วนตัว อำนาจระหว่างบุคคล อำนาจทางการเมือง เพื่อให้คนในครอบครัว และชุมชน สามารถปรับปรุงแก้ไข สถานการณ์ของเขาได้ ( Lorraine Gutierrez)โดย เน้นวิธีการชูปัญหาของคนที่ไม่มีพลังอำนาจได้อย่างสร้างสรรค์และตรงจุดตรงประเด็นให้แก่สังคมให้รับรู้มากขึ้น
แนวคิดเกี่ยวกับการเสริมพลังและเสรีภาพทั้งได้รับอิทธิพลของ เปาโล แฟร์ นักการศึกษาชื่อดังของ บราซิล ( 1921 – 97) เขาเน้นกระบวนการสร้างจิตสำนึก ซึ่งหมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ได้จากมุมมองการโต้แย้งสัมคม การเมือง เศรษฐกิจ แล้วจึงปฏิบัติการตอบโต้การกดขี่นั้นๆ ด้วยพื้นฐานของความจริง แนวคิดของเขาเป็นการวิพากษ์จิตสำนึกและส่งเสริมให้คนสะท้อนปัญหาที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของตนเองว่ามิใช่ปัญหาส่วนบุคคลแต่เป็นปัญหาของสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มีผลต่อบุคคลนั้นๆ แฟร์ จึงสันบสนุนการเสริมพลังให้คนสามารถปฏิบัติการที่จะเอาชนะสภาพบีบคั้นกดขี่ของสังคมนั้นๆได้
การใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และระบบสังคม
ลักษณะที่สำคัญในการเป็นวิชาชีพได้จะต้องมีแนวคิด ทฤษฎีเฉพาะด้านเป็นองค์ความรู้สำคัญ การที่ประชุมได้เลือกแนวคิด มนุษย์ในสภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นแกนสำคัญในการทำงานสังคมสงเคราะห์ ก็ต้องเน้นพฤติกรรมมนุษย์และระบบสังคม ซึ่งเป็นการรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หลายแขนง เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา มนุษย์วิทยา การเมืองการปกครอง กฎหมาย วิทยาศาสตร์สุขภาพ และเศรษฐศาสตร์ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ ได้ใช้ทฤษฏีที่สอดคล้องกับบริบทของปัญหา
ในทัศนะของงานสังคมสงเคราะห์องค์รวม”คนในสภาวะแวดล้อม” ทฤษฎีระบบมักให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาและการเข้าแทรกแซงช่วยเหลือ Carol Meyer ( 1995 ) ได้ให้ความหมายของทฤษฏีระบบโดยทั่วไปไว้ว่า “ศาสตร์แห่งองค์รวมซึ่งอธิบายชุดองค์ประกอบพื้นฐานความสัมพันธ์ของทุกสิ่งที่มีปฏิสัมพันธ์กับทุกส่วนทั้งหมดอย่างองค์รวม ”
ทฤษฎีระบบมักจะเชื่อมโยงแนวคิดมุมมองระบบนิเวศในงานสังคมสงเคราะห์ ผู้ปฏิบัติงานสังคม
สงเคราะห์ต้องมองเห็นและรู้ทุกอย่างในเวลาเดียวกัน โดยการประเมินปัญหาและความต้องการในงานสังคมสงเคราะห์ที่ต้องคิดอย่างกว้างขวางและ คิดละเอียดทุกด้านทุกมุม
หลักการสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม
องค์การสหประชาชาติอธิบายว่า สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่มีอยู่ภายในตัวโดยธรรมชาติ ถ้าไม่มีสิทธิเสรีจะอยู่อย่างมนุษย์ไม่ได้ IFSW ขยายความว่าศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมของสังคม นักสงเคราะห์สังเคราะห์สามารถทำให้เกิดความมั่นคงและการพัฒนาในขณะที่ทุกคนยังมีศักดิ์ศรีของตนเองอยู่เต็มตัวครบถ้วน
งานสังคมสงเคราะห์มักจะห่วงใยเกี่ยวกับสิทธิของมนุษย์ในเรื่องความพึงพอใจต่อความต้องการจำเป็นพื้นฐาน ด้านอาหาร น้ำ ที่อยู่ อาศัย และสุขภาพ จึงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ คุ้มครอง สิทธิเหล่านั้นเป็นพื้นฐาน รวมทั้งความต้องการจำเป็นของผู้อ่อนแอและผู้ถูกกดขี่จะต้องได้รับความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งสมาชิกทุกคนในสังคมมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง ได้โอกาสทางสังคม ซึ่งมีแนวคิดย่อยๆ อีก 2 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมทางสังคม คือ ความมั่งคงกลมกลืน ( Solidarity) กับ การหลอมรวมทางสังคม (social inclusion)
Solidarity ไม่ใช่เพียงแค่ความเข้าใจและความเห็นใจ ต่อความเจ็บปวดทุกข์ยากของมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องยืนหยัดร่วมกับผู้ทุกข์ยากและสาเหตุของเขา การที่จะแสดงให้เห็นถึงการกระทำและคำพูดของความร่วมมือหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ต้องร่วมเผชิญอุปสรรคของด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมหรือจิตวิญญาณ
สรุป
ศตวรรษที่ 21 ยุคโลกไร้พรมแดนถ่างช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้มากขึ้น งานสังคมสงเคราะห์จึงต้องพิจารณาความซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาวะแวดล้อมอย่างองค์รวมเพื่อแก้ไขหรือป้องกันปัญหา นักสังคมสงเคราะห์ต้องเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ส่งผลต่อมุมมอง แนวคิด และปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ ตั้งแต่ปัจเจกบุคคล กลุ่ม ชุมชน สังคม นโยบายและสังคมต่างวิถีประเพณี วัฒนรรมอื่นๆ ที่มีอยู่และมีความสัมพันธ์กันด้วยอย่างไร้พรมแดน
หากจะนำเอาไปใช้กรุณาอ้างอิงด้วยนะคะ
ไม่มีความเห็น