ลวดลายวรรณกรรม/
การประกวดเรื่องสั้นไทยครั้งแรกๆ ในสมัยรัชกาลที่ 7
โดย ธนสาร บัลลังก์ปัทมา
พิมพ์ครั้งแรก สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันที่ 5-11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 หน้า 56-57
เกริ่นนำ
เรื่องสั้นไทยเป็นวรรณกรรมไทยประเภทหนึ่งซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกโดยการนำเข้ามาเผยแพร่ของเหล่าบรรดานักเรียนนอกในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากนั้นจึงเป็นที่นิยมขึ้นตามลำดับ โดยเรื่องสั้นไทยเรื่องแรกที่แต่งโดยคนไทยนั้นนักวรรณกรรมบางส่วนถือกันว่าเรื่องสั้นเรื่องสนุกนึกก์เป็นเรื่องสั้นไทยที่เขียนโดยคนไทยเรื่องแรก
ยุคที่ถือกันว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวรรณกรรมไทยทั้งเรื่องสั้นและนวนิยายที่เข้าลักษณะร่วมของวรรณกรรมปัจจุบัน ถือได้ว่าคือยุคพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ที่วรรณกรรมได้รับความนิยมแพร่หลายสืบต่อมาจากสมัยรัชกาลที่ 6 มีนิตยสารหลายฉบับที่นำเสนอเรื่องสั้นและนวนิยาย เช่น เริงรมย์ , เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์, ไทยเขษม , สุภาพบุรษ, ฯลฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นี้ นับได้ว่าเกิดนักเขียนหน้าใหม่ๆ ขึ้นในวงการเป็นอันมากเพราะบรรดานิตยสารหลายฉบับเปิดกว้างรับผลงานจากนักเขียนทั่วไป ดังนั้น หนังสือเริงรมย์ ที่ประกาศรับผลงานเรื่องสั้นจากผู้อ่านดังที่บรรณาธิการหนังสือเริงรมย์ได้กล่าวไว้ในแถลงการณ์ ในหนังสือเริงรมย์ฉบับปฐมฤกษ์ว่า
และนอกจากนี้
1. เพื่อสมานสามัคคีของบรรดานักประพันธ์ให้ได้มีโอกาสทำงานร่วมมือกัน อันเปนความสนุกอย่างหนึ่งของบรรดาผู้ใฝ่ใจในทางนี้
2. เพื่อเปนการเปิดสนามอีกแห่งหนึ่งสำหรับบรรดาผู้ใคร่จะเปนนักประพันธ์ ได้มีโอกาสฝึกหัด และในส่วนนี้ คณะมีความยินดีรับเรื่องของท่านทุกเรื่องแม้ผู้ที่เริ่มหัด
3. ความเริงรมย์แกท่านผู้อ่าน (หนังสือเริงรมย์. ฉบับที่ 1 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2469 , หน้า 5-8 )
หนังสือเริงรมย์ผู้จุดประกายการประกวดเรื่องสั้นไทย
การประกวดเรื่องสั้นไทยที่เขียนโดยคนไทยและเปิดกว้างให้คนทั่วไปส่งเรื่องเข้าประกวดได้นั้น หนังสือเริงรมย์น่าจะนับได้ว่าเป็นนิตยสารหรือหน่วยงานแรกๆที่เปิดการประกวดเรื่องสั้นไทยขึ้น เพื่อให้คนทั่วไปได้มีร่วมประกวดกันทางกองบรรณาธิการโดยได้ประกาศเชิญชวนไว้ในคำประกาศตั้งสนามเริงรมย์ดังนี้
“ประกาศตั้งสนามเริงรมย์”
หมวด 1 การประกวดเรื่องสั้น
หลังจากหนังสือเริงรมย์ฉบับนี้ ชาวคณะเริงรมย์ขอเชิญชวนท่านทั้งหมดทั่วไปแต่งเรื่องอ่านเล่นชนิดสั้นๆส่งเข้าประกวด ณ สนามเริงรมย์ทั้งนี้เพื่อความสนุกแผนกหนึ่ง จะเปนเรื่องนิทานขบขัน หรือจะเปนเรื่องอ่านเล่นตามความนิยมของสมัยนี้ก็ได้ทั้งสิ้น (จะเปนโคลงฉันท์ กาพย์ กลอน หรือ ร้อยแก้วก้ได้) แต่เรื่องหนึ่งๆต้องไม่ยาวเกิดกว่าสองหน้าของหนังสือฉบับนี้คณะจะได้จัดตั้งกรรมการตัดสินเรื่องสั้นทุกเรื่องที่ลงพิมพ์ไปนั้นในชั่วเวลาสองเดือนต่อครั้งถ้าและเมื่อเรื่องใดกรรมการตัดสินให้เปนที่หนึ่งหรือที่สอง คณะจะประกาศให้ทราบ และจะจัดให้มีรางวัลทั้งสองรางวัล “เริงรมย์ปีที่ 1 เล่ม 5 วันที่ 1 มกราคม 2469)
เสียงตอบรับจากนักเขียน
บรรยากาศในการส่งเรื่องสั้นเข้าประกวดในหนังสือเริงรมย์นั้นได้รับความนิยมมากในระดับหนึ่ง เพราะมีผู้ส่งเรื่องสั้นเข้าร่วมประกวดจำนวนมากแม้จะมีกำหนดระยะเวลาเพียง 2 เดือนก็ตาม ดังที่บรรณาธิการหนังสือเริงรมย์ได้กล่าวไว้ในเริงรมย์ฉบับตัดสินผลการประกวดเรื่องสั้นว่า "มีผู้ส่งเรื่องสั้นเข้าประกวดชิงรางวัลตามคำเชื้อเชิญของเราหลายสิบเรื่องด้วยกัน เราได้เลือกเรื่องที่เห็นว่าสมควรชมเข้าสู่สนามประกวดรวมทั้งหมด 22 เรื่อง" (เริงรมย์ปีที่ 10 ฉบับที่ 10 วันที่ 15 มีนาคม 2469 , หน้า 2554)
นอกจากจำนวนเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดจะมีจำนวนมากแล้ว ยังมีผู้ที่ต้องการให้เพิ่มความยาวของเรื่องสั้นให้มีมากกว่า 2 หน้าอีกด้วย
นับได้ว่าการประกวดเรื่องสั้นครั้งแรกในหนังสือเริงรมย์นี้ได้สร้างความตื่นตัวให้กับนักเขียนเป็นอย่างมาก
“ใครเปนบัณฑิต?” เรื่องสั้นชนะการประกวด
ในการตัดสินผลการประกวดเรื่องสั้นนั้นมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อวินิจฉัยคณะหนึ่งจำนวน 3 ท่าน โดยคณะกรรมการในครั้งนี้ คือ พันธุ์งาม ศรีอิสรา และสมุห์หอม โดยกรรมการทั้ง 3 ท่าน ได้ตัดสินให้เรื่องสั้นเรื่อง “ใครเปนบัณฑิต?” ของเผ่าทหารได้รางวัลที่หนึ่งโดยเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลที่สองมี 3 เรื่อง คือ “พิศูจน์รัก” ของ ส.อ.ว. และเรื่อง “ขงเบ้งและจิวยี่” ของประทือง ซึ่งผลแห่งการประกวดมีดังนี้
กรรมการ |
รางวัลที่หนึ่ง |
รางวัลที่สอง |
พันธุ์งาม ศรีอิสรา สมุห์หอม |
ใครเปนบัณฑิต? ใครเปนบัณฑิต? ใครเปนบัณฑิต? |
ศาสตราจารีย์กับชายแจวเรือ พิศูจน์รัก ขงเบ้งและจิวยี่ |
เนื้อหาของเรื่องสั้นเรื่อง “ใครเปนบัณฑิต?” เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของนายภาสกับนางโสภา ซึ่งได้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องความรักของหนุ่มสาว ที่ต่างฝ่ายบอกว่าไม่ได้รักกัน เพียงแต่ชอบกัน เพราะความรักคือโรคร้ายในทรรศนะของนายภาส มหาบัณฑิตจากแคมบริดจ์ กับความรักคือของแสลงอันโอชาและพิษถึงกับฆ่าผู้เมามึนในรสรักได้ของนางสาวโสภา ซึ่งนางสาวโสภา ได้กล่าวความเปนบัณฑิตรั้งใจไว้มิให้รักนายภาส จนเกิดการทุ่มเถียงกันว่า “ใครเปนบัณฑิต?” ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ แล้วจึงใช้จดหมายเป็นเครื่องสารภาพรักแก่กัน โดยผู้เขียนคือเผ่าทหารได้ปิดเรื่องโดยทิ้งท้ายว่า “ใครเปนบัณฑิต?”
รางวัลในการประกวดเรื่องสั้น
การประกวดเรื่องในหนังสือเริงรมย์ทางบรรณาธิการหนังสือเริงรมย์ได้มอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะที่หนึ่งและผู้ที่ได้รับรางวัลอีกสามท่านเป็นหนังสือที่มีลายเซ็นของคณะกรรมการตัดสินทั้งสามท่าน โดยเป็นหนังสือที่ทางบรรณาธิการหนังสือเริงรมย์กล่าวไว้ว่า “เปนหนังสือมีค่า มีชื่อกรรมการทั้งสามเซ็นเพื่อเป็นที่ระลึก” เริงรมย์ ปีที่ 1 เล่ม 10 วันที่ 15 มีนาคม 2469 หน้า 2393)
ผลจากการประกวด
ผลจากการจัดการประกวดในหนังสือเริงรมย์ ปรากฏว่ามีนักเขียนเรื่องสั้นเข้าร่วมประกวดจำนวนหลายสิบเรื่อง โดยมีเรื่องสั้นที่ผ่านการพิจารณาได้รับการลงพิมพ์ในหนังสือเริงรมย์รอบ 2 เดือนที่ประกวด 22 เรื่องอันเป็นการสร้างบรรยากาศทางวรรณกรรมให้เหล่านักเขียนตื่นตัวและมีสนามในการแสดงผลงานทั้งนักเขียนเก่าและนักเขียนหน้าใหม่ ผลจากความนิยมในครั้งนี้ ทำให้หนังสือเริงรมย์จัดการประกวดเรื่องสั้นในครั้งต่อๆมาอีกหลายหนนอกจากนี้บรรดาเรื่องสั้นที่ส่งเข้าร่วมประกวดของนักเขียนบางท่านที่มีขนาดยาวเกินไปนั้นทางบรรณาธิการหนังสือเริงรมย์ยังได้นำลงเป็นเรื่องยาวในโอกาสต่อๆไปอีกด้วย
ความหลากหลายในเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวด
การประกวดเรื่องสั้นในหนังสือเริงรมย์ครั้งแรกนี้ นับได้ว่าเป็นการเปิดกว้างสำหรับเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวด เพราะคณะบรรณาธิการตั้งขอบเขตเพียงความยาวของเรื่องสั้นตามคำเชิญชวนที่ให้แต่งเรื่องอ่านเล่นที่มีความยาวไม่เกิน 2 หน้า ซึ่งมีการผ่อนผันให้ยาวได้เกิน 2 หน้าในฉบับต่อมา โดยไม่มีข้อจำกัดในด้านอื่นๆมากนัก จึงนับเป็นการเปิดกว้างในรูปแบบและเนื้อหาเรื่องสั้น ที่เมื่อพิจารณาแล้ว จะพบเรื่องสั้นที่มีลักษณะเด่นสี่ลักษณะ คือ เรื่องสั้นที่มีลักษณะเป็นนิทาน เรื่องสั้นที่มีลักษณะเรื่องสั้นปัจจุบัน เรื่องสั้นที่ผสมผสานระหว่างเรื่องสั้นปัจจุบันกับนิทาน และเรื่องที่มีลักษณะนำเนื้อเรื่อง เรื่องสั้นต่างประเทศนำมาแปลง โดยเรื่องที่เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ตามที่ทางหนังสือเริงรมย์อนุโลมให้ร่วมประกวดได้นั้น ไม่ปรากฏอยู่เลย คงมีเพียงร้อยแก้วแนวเรื่องสั้นเท่านั้น ในจำนวนเรื่องที่นำเสนอในการประกวดทั้งหมด 22 เรื่อง โดยคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองชนิดต่างๆนั้น หากปรากฏจะอยู่ในรูปของการปิดเรื่องโดยใช้คำประพันธ์ร้อยกรองปิดท้ายเรื่องเพื่อสรุปเรื่อง
ลักษณะเด่นของเรื่องสั้นอีกประการหนึ่งคือ การใช้จดหมายในการดำเนินเรื่อง เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านตัวละคร โดยที่ผู้เขียนไม่ต้องบอกผู้อ่านโดยตรงอันเป็นลักษณะที่นิยมกันในสมัยนั้น
ปิดท้าย
อาจจะนับได้ว่าเรื่องสั้นเรื่อง ใครเปนบัณฑิต? เป็นเรื่องสั้นชนะการประกวดในการประกวดเรื่องสั้นไทยที่แต่งโดยคนไทย และเปิดกว้างให้ผู้อ่านและนักเขียนทั่วไปได้ร่วมส่งเรื่องเข้าประกวด อันถือเป็นการประกวดเรื่องสั้นครั้งแรกๆของไทยที่กรรมการตัดสิน มีการมอบรางวัล และเปิดกว้างให้คนทั่วไปส่งเรื่องที่แต่งเข้าประกวด ซึ่งนับว่าเป็นพัฒนาการเรื่องสั้นไทยให้แพร่หลายมากขึ้น ช่วยสร้างบรรยากาศทางวรรณกรรมในสมัยนั้นให้เป็นที่นิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และน่าจะถือได้ว่าเป็นการจุดประกายในการประกวดเรื่องสั้นไทยในยุคต่อๆมาอีกทางหนึ่งด้วย
บทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอให้ทราบถึงการประกวดเรื่องสั้นไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่นักวรรณกรรมหลายๆท่าน ถือเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของวรรณกรรมไทย เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของวรรณกรรมไทย เริ่มมีการประกวดงานวรรณกรรมเป็นกิจลักษณะ อันเป็นการสร้างบรรยากาศทางวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น อีกทั้งยังช่วยให้เรื่องสั้นไทยพัฒนาขึ้นมาจากสมัยก่อนหน้านั้นอีกทางหนึ่งด้วย
ใครเปนบัณฑิต?
“เผ่าทหาร”
นายภาส พงษ์ภาณ เปรียญ M.A. แห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์. ยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่ เขากำลังทึ่งในอุปนิสัยอันเยือกเย็น ในอิริยาบถอันเคร่งขรึมแห่งสหายหญิงของเขา นางสาวโสภาบารมีบวรณ์ ซึง ณ บัดนี้เจ้าหล่อนได้เอนการหงายหลังพิงพนักเก้าอี้เฉยอยู่โดยไม่ปริปากโต้ตอบคำพูดของเขาเสียเลย. (ตราบจนเขาพูดขึ้นใหม่ว่า “จริงๆนา คุณที่รัก, ผมว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งภรรยาของบุรุษอย่างที่สุด, คุณจักเปนมารดาของมนุษย์ผู้มีสรีระสมบูรณ์ด้วยอนามัยได้คนหนึ่ง, ถ้าคุณสามารถจะเปนภรรยาของผมได้จะดีมาก เวลานี้ผมแข็งแรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน และยังเปนหนุ่มอยู่ ทุกๆส่วนของอวัยวะ, และคุณก็ยังเปนสาว, โอกาสอันงดงามยังเปนสมบัติของคุณ”
นางสาวโสภา “คุณรักดิฉันหรือคะ? คุณไม่รักดิฉันเลยไม่ใช่หรือ?”
นายภาส “เปล่า! ผมชอบคุณต่างหาก ไม่เคยรักคุณเลย ความรัก-คือโรคร้าย-เปนเครื่อง
ทอนความสุขของมนุษย์ บัณฑิตกล่าว “มหาทุกข์-ภัย-อุบาทว์ ทุกประเภท ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ที่มีความรัก”
นางสาวโสภา “อย่างนั้น คุณคงไม่มีความรักในดิฉันเลยเปนแน่ บัณฑิตย่อมภาสิตไว้ว่า “ความรัก คือของแสลงอันโอชา และมีพิษถึงกับฆ่ามนุษย์ผู้มึนเมาในรสรักได้โดยง่าย”
นายภาสหน้าแดงในทันใด พลางพูดว่า “ผมไม่ได้รักคุณ คุณไม่ได้รักผม ต่างคนต่างมิได้รักกันเลยมิใช่หรือ?”
นางสาวโสภา “ถูกแล้ว ความเปนบัณฑิตของดิฉันรั้งใจมิให้รักคุณ”
นายภาส”อ๊ะ! ผมต่างหากเปนบัณฑิตจะถูกกว่า”
สองหนุ่มสาวต่างคนต่างทุ่มเถียงเกี่ยงว่า ตนเปนบัณฑิตอยู่ราว 4 ชั่วโมงไม่มีใครลงใครในสุดนายภาสขอโอกาสลาเจ้าหล่อนกลับบ้าน
รุ่งขึ้น-มีไปรษณีย์บุรุษนำจดหมายมาส่งให้นางสาวโสภาฉบับหนึ่งมีใจความว่า
“คุณโสภายอดรัก
?
จากผม ภาส พงษ์ภาณ”
และในวันเดียวกัน นายภาสก็ได้รับจดหมาย ฉบับ 1 ความว่า :
“คุณภาส ที่รักของดิฉัน
ค่ะ
จากดิฉันโสภา บารมีบวรณ์”
แล้วทั้ง 2 คน ก็ได้แต่งงานกันโดนสวัสดิภาพ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า “ใครเปนบัณฑิต?”
(การนำข้อมูลไปใช้กรุณาอ้างอิงผู้เขียนบทความด้วย)
ไม่มีความเห็น