วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
เรียน เพื่อนครู ผู้บริหารที่เคารพรักทุกท่าน
วันพุธที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เช้าเข้าตัวเมืองเพชรบุรี เพื่อร่วมรายการพบกันยามเช้าที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี เป็นการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สำนักงานจังหวัดจะจัดคิวให้ส่วนราชการสังกัดกระทรวงต่าง ๆ หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ วันนี้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ ผมเป็นสมาชิกใหม่ถูกแนะนำให้สมาชิกทั้งหมดรู้จัก รวมทั้งหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ที่เพิ่งย้ายมารับตำแหน่งที่เพชรบุรี อาหารการกินต้องบริการตนเอง มีทั้งอาหารไทย ฝรั่งให้เลือกตามใจชอบ หลาย ๆ จังหวัดก็จัดรายการทำนองนี้ บ้างก็อายุยาวบ้างก็อายุสั้นขึ้นอยู่กับท่านเจ้าเมืองเป็นหลัก นอกจากรับประทานอาหารเช้าแล้วส่วนราชการต่าง ๆ ได้ประชาสัมพันธ์งานของตนเองให้ส่วนราชการอื่นรับทราบ แต่ไม่เป็นแบบพิธีรีตองอะไรมากนัก ผมอยู่ไม่นานก็ลาท่านผู้ว่าราชการจังหวัด เดินทางกลับบ้านพักที่ท่ายาง เก็บสัมภาระขึ้นรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาแวะห้าง Big C เพชรบุรี เพื่อซื้อกระเป๋าเดินทางแต่มีแบบให้เลือกน้อย จึงเดินทางต่อไปแวะ Big C นครปฐม มีให้เลือกมากขึ้น ตัดสินใจซื้อใบใหญ่ราคา ๒,๗๐๐ บาท เพื่อสะดวกในการเดินทางไม่ต้องหอบกระเป๋าหลายใบ ที่เวียดนามกระเป๋าขนาดเดียวกันนี้วางขายราคา ๕๐๐ บาท- ๑,๐๐๐ บาท แต่เป็นของเลียนแบบที่ทำได้เหมือน บ่ายวุ่นวายกับการจัดกระเป๋าจนเย็น เพราะไปหลายวันและเป็นช่วงฤดูหนาวจึงต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวไปบ้าง พร้อมยาสามัญประจำตัว เวลา ๑๙ นาฬิกาเศษจึงออกจากที่พักไปสนามบินสุวรรณภูมิ อาศัยรถแท็กซี่ วันนี้รถไม่ติดจึงถึงเร็ว พบสมาชิกส่วนใหญ่มาพร้อมกันแล้ว ที่ปประตู ๑ เคาน์เตอร์ D การบินไทย เพราะเป็นผู้ที่มาจากต่างจังหวัดมาถึงตั้งแต่ตอนกลางวัน เจ้าหน้าที่จากบริษัทกรีนเวย์มาอำนวยความสะดวกและ เจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสินบริการแลกเงินเยนของญี่ปุ่น ผมแลกไป ๑๐,๐๐๐ บาท ได้เงินเยนมา ๒๗,๐๐๐ เยน ไว้ซื้อกาแฟเวลาหิว จัดการเรื่องโหลดกระเป๋าลงเครื่อง check in ไม่นานนักก็เข้าไปเดินชมสินค้าร้านปลอดภาษีได้ตามใจชอบ เพราะกำหนดเครื่องบินออกเวลา ๒๓.๐๐ น. การเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้จัดการธนาคารออมสินระดับเขตและจังหวัดกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ใช้งบประมาณของธนาคารออมสิน แบ่งออกเป็น ๓ รุ่น ๆ ละ ๘๐ คน ผมอยู่ในรุ่นสุดท้าย หัวหน้าคณะคือรองเลขาธิการ กพฐ. นายวินัย รอดจ่าย กำหนดการศึกษาดูงานระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ผมเคยเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ไปครั้งนั้นไปศึกษาดูงานที่เมืองโอซาก็า โกเบ นารา เกียวโต และซาซายาม่า ไปครั้งนี้ก็ไปลงเครื่องที่สนามบิน Kansai International Airport เมือง Osaka ต่างกันตรงที่ไปครั้งก่อนเป็นหน้าร้อน ไปคราวนี้หน้าหนาว
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ อยู่บนเครื่องบินประมาณ ๖ ชั่วโมง ๓๐ นาที เขาปลุกมาทานข้าวเช้าตอนตี ๕ เวลาท้องถิ่น หากเป็นเมืองไทยคงเป็นเวลาตี ๓ พวกเราก็ว่านอนสอนง่าย ทานกันได้ทุกคน เมื่อเครื่องลงจอดต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากญี่ปุ่นยินยอมให้คนไทยอยู่ในประเทศของเขาได้โดยไม่ต้องวีซ่า ๙๐ วัน การเข้าเมืองจึงไม่ยุ่งยากนัก เมื่อผ่านการเข้าเมืองก็ต้องมาต่อรถไฟฟ้าไปยังอาคารอีกหลังหนึ่งเพื่อรับกระเป๋าเดินทาง มีเจ้าหน้าที่ทัวร์มาต้อนรับเพื่อนำพวกเราไปขึ้นรถ ผมอยู่รถคันที่ ๒ ซึ่งมีเพื่อนร่วมทาง ๓๘ คนอากาศนอกอาคารสนามบินหนาวมาก เขาบอกว่าวันนี้ประมาณ ๓ องศาเซนเซียส รถก็วิ่งตามกันไป ไปจอดอาคารพักรถริมทางมีลานจอดกว้าง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าห้องน้ำ ในตัวอาคารมีการขายน้ำขายขนมชนิดหยอดเหรียญไว้บริการ ผมออกมาสู้กับลมหนาวข้างนอกเพื่อให้ร่างกายปรับตัว บริษัททัวร์เสริฟเบเกอรี่กับน้ำอีกรอบเพื่อเติมพลัง รถพาไปชมยูนิเวอร์แซล สตูดิโอในเมืองโอซาก้า คุณโจ ไกด์หนุ่มชาวไทยที่มาตั้งรกรากอยู่ญี่ปุ่น ๒๐ ปีกว่าเล่าให้ฟังว่า สวนสนุกแห่งนี้ทุ่มทุนมหาศาลบนเนื้อที่กว่า ๑๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผมเพิ่งไปดู Overland ที่เกาหลีมาเขาก็ว่าของเขาใหญ่ที่สุดในโลกเหมือนกัน แบบผังก็ทำนองเดียวกันแต่ของเกาหลีเพิ่งสร้างเสร็จ Universal Studios Japan แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนการแสดงในอาคารประเภทภาพยนต์ ๓ มิติ การแสดงกลางแจ้ง เช่นรถไฟเหาะตีลังกา ทะเลสาป และส่วนขายของที่ระลึกประเภทตุ๊กตา หุ่นยนต์ เสื้อผ้า พวงกุญแจ และขนมนานาชนิด ตั้งชื่อแต่ละส่วนตามชื่อเมืองในอเมริกา เช่น นิวยอร์ก ฮอลลีวูด ซานฟรานซิสโก ผมเดินอาบแสงแดดท่ามกลางลมหนาว ไม่ได้แวะเข้าไปดูอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เที่ยงทัวร์พาพวกเราไปทานอาหารที่ภัตตาคารญี่ปุ่นใกล้ ๆสวนสนุกเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ อิ่มแล้วก็เดินไปลานจอดรถที่อยู่หน้าสวน จากเมืองโอซาก้า รถพาพวกเราขึ้นทางด่วนไปยังเมืองเกียวโตที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปใช้เวลาเดินทางประมาณ ๒ ชั่วโมงเพื่อไปชมวัดคิโยมิซึ (Kiyomizu- dera) วัดนี้สร้างบนเนินเขาโดยใช้ท่อนซุงนำมาเรียงกันและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ผมเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เดินไม่ทั่วเพราะครั้งนั้นเหนื่อยเกินไปกับการเดินชมวัดในเมืองนารามาก่อนถึงวัดนี้ มาวันนี้ถึงวัดเวลา ๑๕ นาฬิกา ผู้คนเดินกันขวักไขว่ทั้งขาขึ้นและขาลง สองข้างทางเป็นร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง มีทั้งผลไม้ ผัก ขนม พวงกุญแจ เครื่องจักรสาน รวมทั้งเครื่องมือเดินป่าทั้งหลาย การเข้าชมบริเวณวัดต้องซื้อตั๋ว แล้วเดินวนไปตามอาคารที่ปรับระดับสูงขึ้นไป มองเห็นเมืองเกียวโตได้ชัดเจน คนส่วนใหญ่มาวัดนี้เพื่อดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๓ สายที่ไหลออกมาจากภูเขาผ่านท่อมาให้ผู้คนรองรับและดื่มกิน เชื่อว่าเมื่อดื่มแล้วจะประสบความสำเร็จ ๓ ด้าน คือ ชื่อเสียง เงินทอง และสุขภาพ ผมมาสองครั้งก็ไม่เคยดื่มกิน เพราะคิวยาวเหลือเกิน ที่สำคัญไม่คาดหวังอะไรที่มากไปกว่าที่เป็นอยู่ มองจากวัดวันนี้ต้นไม้เปลี่ยนสีจากเขียวสดเป็นเหลืองบ้างแดงบ้างสวยงามดี และเป็นอย่างนี้ทั่วทั้งเมือง เพราะเป็นฤดูใบไม้ร่วงต่อกับฤดูหนาว เว้นแต่ต้นสนมีใบเขียวตลอดปี เดินกลับลงมาจากวัดชมสินค้าในร้านค้าสองข้างทางจนถึงลานจอดรถ ด้านข้างมีห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดไว้บริการฟรี เที่ยวญี่ปุ่นสบายใจได้ในเรื่องห้องน้ำ จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งไว้บริการ แม้แต่ร้านค้าทั่วไป ที่สำคัญเขาไม่หวง รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากลานจอดก็เกิดอุบัติเหตุไปเบียดรถที่จอดอยู่จนต้องเสียเวลารอตำรวจมาบันทึกประจำวัน แต่ไม่มีรายการปากเสียงระหว่างคู่กรณี เขามีระบบประกันมาจ่ายและดำเนินการให้ พวกเรารับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคาร Ururu ในเมืองเกียวโต ๒ ทุ่มครึ่งเวลาท้องถิ่น เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเพราะความหิว แต่บริการช้าที่สุด ทุกอย่างเสิร์ฟเท่าจำนวนคนในโต๊ะ ทานเสร็จนั่งรออีกนานกว่าอาหารอีกอย่างจะมา อิ่มแล้วเดินทางขึ้นไปทางเหนือต่อไปเพื่อพักที่เมืองนาโกยา (Nagoya) ใช้เวลาเดินทางเกือบ ๒ ชั่วโมง ถึงโรงแรม Nagoya Kanko Hotel เวลา ๒๒.๓๐ น. น้องสาวของเพื่อนที่แต่งงานกับวิศวกรญี่ปุ่นมาตั้งรกรากอยู่เมืองนี้ ๒๐ กว่าปีมาหา เธอบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ ปั่นจักรยานมา ลูกสาวโตแล้วทำงานที่เมืองโอซาก้าคนหนึ่ง อีกคนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ต้นเดือนหน้าจะกลับประเทศไทย อยากไปซื้อบ้านที่เชียงใหม่ หลังถามไถ่ทุกข์สุขกันตามธรรมเนียมขอตัวเข้าที่พัก ข้างนอกอากาศหนาวจนติดลบองศาเซนเซียส ไกด์บอกว่าคืนนี้และพรุ่งนี้น่าจะได้เห็น หิมะ เมืองนาโกยา เป็นเมืองใหญ่อันดับ ๔ ของญี่ปุ่น เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประสาทของเจ้าเมือง (โชกุน) ตั้งอยู่ในเมือง มีถนนสายใหญ่และสายเล็กตัดเชื่อมโยงกันอย่างสะดวกสบาย ถือว่าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา เครื่องเขิน เครื่องเขินลงยา ใกล้ใจกลางเมืองมีประสาทนาโกยา (Nagoya – Jo) ตั้งตระหง่านอยู่ แต่เป็นของสร้างเลียนแบบของเดิมที่ถูกระเบิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
วันศุกร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตื่นเช้าตามเสียงนาฬิกาปลุกของโรงแรม อาบน้ำแต่งตัวจัดกระเป๋าเดินทางให้พร้อมที่จะลำเลียงขึ้นรถ เพราะเที่ยวนี้ที่พักจะไม่ซ้ำกันในแต่ละคืน คือเริ่มจากตอนใต้ของประเทศขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองนาริตะ ลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้น ๒ ของโรงแรม มีทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารฝรั่งให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจัดไว้คนละห้อง ผมเลือกอาหารญี่ปุ่น ทานข้าวสวยญี่ปุ่นเม็ดสั้น ๆ เหนียว ๆ ทานกับปลาแซมมอลอบเกลือ และปลาเทราต์ต้มหวานได้รสชาติที่ยากจะอธิบาย ขนสัมภาระใส่ท้องรถ ขบวนก็เคลื่อนออกจากตัวเมืองขึ้นไปทางเหนืออีก ตัวเมืองของญี่ปุ่นทั้งเล็กและใหญ่มีเรื่องหนึ่งที่เหมือนกันคือความสะอาด ไม่มีให้เห็นทั้งขยะและถังขยะ ต้นแปะก๊วยและต้นเมเปิ้ล ที่ปลูกไว้สองฝั่งถนนมีสีเหลืองและสีแดงเป็นธรรมชาติที่สวยงาม ถนนที่ขึ้นไปวันนี้ต้องผ่านภูเขาหลายลูก หากเป็นเหวลึก ๆ เขาจะทำเป็นสะพานมองลงไปลึกมากข้ามไปทุกแห่ง เจอภูเขาจะเจาะเป็นอุโมง บางอุโมงยาวถึง ๕ กิโลเมตร ไกด์บอกว่าอุโมงยาวเป็น ๑๐ กิโลเมตรก็มี เห็นความยุ่งยากในการทำถนนของญี่ปุ่นแล้วต้องนับถือเขา หากเป็นบ้านเราคงจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากสำหรับญี่ปุ่น แต่สำหรับเราก็เป็นที่รู้กันอยู่ สิ่งที่พบเห็นเมื่อเข้าเขตภูเขาคือ หิมะ สองข้างทาง ที่เป็นต้นสนก็ถูกเกาะจนดูขาวโพลน ในอากาศ หิมะ ก็โปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง ที่น่าเห็นใจคือหมู่บ้านในหุบเขากลายเป็นทะเลขาวไปทั้งแถบ ในความสวยงามที่เราเห็น เป็นทุกขเวทนาสำหรับชาวบ้านแถบนี้ เพราะพืชผักถูกกลบไปด้วย หิมะ แม้บ้านพักอาศัยทั้งหลังคาและพื้นก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ เว้นแต่แม่น้ำจะมีน้ำไหลเป็นปกติตัดกับสีขาวโพลนของหิมะเป็นธรรมชาติที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง รถนำเราฝ่าหิมะ มาเกือบ ๓ ชั่วโมงจนถึงที่หมายคือหมู่บ้านชิราคาวา เป็นหมู่บ้านที่อยู่ทางเหนือของจังหวัดกิฟุ อยู่ในหุบเขาเจแปนแอลป์ มองไปภูเขาลูกไหนก็จะโรยหน้าไปด้วยสีขาว วันนี้ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยหิมะ ปกคลุม แต่ร้านค้ายังคงเปิดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านตามปกติ พวกเราฝ่าความหนาวเดินชมหมู่บ้านท่ามกลางสายฝนของหิมะ หมู่บ้านนี้ก็ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเช่นกัน บ้านส่วนใหญ่มุงด้วยหญ้าพื้นเมืองเขาเรียกว่าบ้านแบบ “กัชโชซุคุริ” มีอายุร่วม ๑๐๐ ปี จากนั้นรถเราออกไปยังเมืองฮิดะ ทาคายามาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน อาหารวันนี้จัดเป็นชุดสำหรับหนึ่งคน ผมเรียกเอาเองว่าหมูกะทะ ปลาเทราต์ต้มหวาน ผักกาดดอง และขนมเต้าหู้แข็ง มีข้าวสวยญี่ปุ่นเป็นอาหารหลัก เวลา ๑๔.๐๐ น. ไปศึกษาดูงานโรงเรียนประถมศึกษาประจำจังหวัดทาคายาม่า ชื่อ MINAMI TAKAYAMA SCHOOL ครูใหญ่มาต้อนรับพวกเราพาเดินชมห้องเรียน ห้องประกอบต่าง ๆ แม้จะเป็นช่วงหิมะปกคลุม สนามแฉะไปด้วยน้ำ แต่ตัวอาคารสะอาดเรียบร้อยดี เพราะโรงเรียนบังคับให้ทุกคนถอดรองเท้าใส่ล็อกเกอร์ไว้ตรงทางเข้าอาคาร แล้วใสรองเท้าแตะของโรงเรียนแทน ตัวอาคารก็เป็นอาคารต่อเนื่องกันไป พวกเรามอบของที่ระลึกและกล่าวขอบคุณครูใหญ่ ก่อนจะออกมาดูผู้ปกครองขับรถมารับบุตรหลานเพราะฝนตก หากไม่มีฝนเด็กเหล่านี้ต้องเดินกลับบ้านเอง เพราะระยะทางจากโรงเรียนกับบ้านไม่เกิน ๒ กม. เสร็จจากการศึกษาดูงาน เดินทางสู่ที่พักโรงแรม HINDA PLAZA HOTEL ตอนเย็นถูกบังคับให้แต่งชุดยูกะตะชุดประจำชาติของญี่ปุ่นลงมารับประทานอาหารเย็น อาหารก็จัดเป็นที่เป็นชุดแยกกันในแต่ละคนประเภทหมูนึ่ง ปลาดิบ ปลาแซมมอลอบ ปลาต้มเห็ด ผักดอง มีรายการจแฮปปี้เบิร์ดเดย์สำหรับผู้ที่เกิดในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วย มีการแจกวัตถุมงคลจากวัดวัดคิโยมิซึ อิ่มแล้วก็ขึ้นห้องพักจัดกระเป๋าเดินทางใหม่เพราะเริ่มซื้อสินค้ารายทางเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นขนมญี่ปุ่นจำพวกแป้งและถั่วเป็นหลัก
เล่าได้เนียนมาก อ่านแล้วหากมีโอกาสอยากจะไปบ้าง
อิ่มและจุใจ
ข้าวสวยกับปลาซามอน คงจะอร่อยนะ ท่านผอ.ทานแทบทุกมือ