การจัดการความรู้แบบบูรณาการของ
รพ.บ้านตาก
รพ.บ้านตากได้บูรณาการเรื่องคุณภาพกับการจัดการความรู้
โดยสร้างตัวแบบการจัดการความรู้ 5 ขั้นตอนที่จะทำให้
รพ.บ้านตากเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ที่เปรียบเสมือนไข่ทั้งฟองคือ
LKASA Egg Model
ที่ไม่จำเป็นต้องเริ่มทีละขั้นหรือไปตามลำดับเพราะแต่ละขั้นตอนจะเชื่อมโยงและส่งผลถึงกันได้
ใครจะเริ่มจากขั้นตอนไหนก่อนก็ได้ ได้แก่
1. การจัดการให้เกิดการเรียนรู้(Learning)
เป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารองค์กรและผู้บริหาร
จัดการความรู้(คุณเอื้อ)ที่ต้องทำให้ทุกคนมีและมองเป้าหมายเดียวกันว่าองค์กรกำลังจะไปทางไหน
มองเห็นภาพใหญ่ทั้งระบบขององค์กร
พยายามทำให้กิจกรรมและเครื่องมือต่างๆในการพัฒนาองค์กรสอดแทรกไปกับงานประจำ
ทำให้ง่ายไม่เน้นและยึดติดรูปแบบ
เข้าใจหลักการที่แท้จริงและสร้างสภาพบรรยากาศขององค์กรให้เอื้อต่อการเรียนรู้
การส่งเสริมให้บุคลากรมีความคิดสร้างสรรค์ 4 แบบคือคิดเชิงบูรณาการ
คิดเชิงระบบ คิดเชิงบวกและคิดเชิงบุก(คิดนอกกรอบ)
และที่สำคัญต้องมีการเขย่าองค์กรอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
2. การจัดการให้เกิดองค์ความรู้(Knowledge Organizing)
การนำความรู้ในแต่ละด้านมา
ประกอบกันเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีเกิดเป็นองค์ความรู้ในแต่ละเรื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรฉลาดขึ้น
มีการแยกแยะขีดความสามารถหลักออกมาให้ได้แล้วมามองว่าเรามีความรู้อะไร
ยังขาดเรื่องอะไร สามารถสร้างหรือมีในองค์กรหรือไม่
ถ้ามีก็ใช้การหมุนเกลียวความรู้ สกัดออกมาหรือดูจากข้อมูล สารสนเทศ
หรือวิธีการปฏิบัติที่มีอยู่
ถ้าไม่มีก็ไปคว้ามาจากภายนอกอย่างเหมาะสมโดยนำมาแต่แก่นหรือเนื้อใน
จากนั้นเป็นขั้นตอนที่วิศวกรความรู้(คุณประกอบ)ต้องนำความรู้ที่มีและที่คว้ามามาประกอบกันเป็นองค์ความรู้ที่นำไปสู่การปฏิบัติงานที่ดีภายใต้บริบทขององค์กรเราเอง
องค์ความรู้เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นภูมิปัญญาสถาบัน
3. การจัดการให้เกิดการใช้ความรู้(Knowledge Acting)
คือการนำความรู้ที่ได้ไปปฎิบัติ ที่
คนในองค์กรต้องเชื่อใจไว้ใจกันเพราะถ้าสร้างความรู้แล้วไม่นำมาใช้ก็เสียเปล่าแต่เมื่อนำมาใช้แล้วต้องมีการทบทวนหลังปฏิบัติ(AAR)และกิจกรรมผิดเป็นครู(Lesson
Learned)เพื่อสร้างปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จัดกิจกรรมให้มีการแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม การสอนงานกัน
เป็นพี่เลี้ยงกันได้และสรุปสิ่งดีๆเก็บไว้ด้วย
การจะปฏิบัติได้ดีจึงต้องกระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมทบทวนเพื่อลดความเสี่ยงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
วัฒนธรรมประกันคุณภาพเพื่อให้ตัวเองและลูกค้ามั่นใจในผลงาน
วัฒนธรรมคุณภาพเพื่อให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
วัฒนธรรมสร้างสุขภาพเพื่อให้เกิดความสุขและวัฒนธรรมเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่หยุดนิ่ง
ซึ่งจะสังเกตวัฒนธรรมการเรียนรู้ได้จากการเปิดใจรับความคิดที่แตกต่าง
การมีส่วนร่วมคิดร่วมทำและการเสริมพลัง
ขั้นนี้จึงเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติจัดการความรู้หรือคุณกิจ(Knowledge
Practitioner)เป็นหลักภายใต้การสนับสนุนของคุณเอื้อ(CKO) คุณอำนวย(KM
Facilitator) คุณประกอบหรือวิศวกรความรู้(Knowledge
Engineer)และคุณเก็บหรือบรรณารักษ์ความรู้(Knowledge Librarian)
4. การจัดการให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้(Knowledge Sharing)
เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการความรู้ที่ขาดไม่ได้จึงเป็นเสมือนไข่แดงที่จะทำให้ไข่ฟักเป็นตัวได้
เป็นการนำสิ่งที่ไปปฎิบัติไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวมาเล่าสู่กันฟังและเรียนรู้ประสบการณ์จากการปฎิบัตินั้น
ซึ่งตัวกลางที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนคือคุณอำนวยที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติมาแลกกันโดยเฉพาะคนหวงวิชาและคนขี้อายที่มีสิ่งดีๆอยู่ในตัว
คุณอำนวยจึงควรเอื้ออำนวย 4
อย่างคือเอื้อโอกาส(Learn)จัดเวลาหาเวทีให้
เอื้ออาทร(Care)สร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มให้รักกัน เชื่อใจกัน
จริงใจกันผ่านกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ
เอื้ออารี(Share)กระตุ้นให้คนอยากแบ่งปันกันและเอื้อเอ็นดู(Shine)ให้กำลังใจ
เติมไฟ ใส่ฟืน การจัดเวลามีทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ
มีทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
การจัดเวทีให้มีทั้งเวทีจริงที่เจอหน้ากันและเวทีเสมือนที่ผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศเช่น
อินทราเน็ต อินเตอร์เน็ต
รูปแบบการแลกเปลี่ยนมีทั้งผู้ปฏิบัติกับผู้ปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติรุ่นเด็กกับรุ่นเดอะ หัวหน้ากับลูกน้อง แผนกกับแผนก
องค์กรกับลูกค้า องค์กรกับองค์กร
นำเครื่องมือแลกเปลี่ยนเรียนรู้รูปแบบต่างๆมาใช้เช่น
เรื่องเล่าเร้าพลัง(Story telling)
สุนทรียสนทนา(Dialogue)เพื่อนช่วยเพื่อน(Peer
assist)ค้นหาสิ่งดี(Appreciative inquiring)สุมหัว(Brain
storming)พี่สอนน้อง(Coaching)
หากจะเกิดความยั่งยืนของกลุ่มแลกเปลี่ยนต้องกระตุ้นให้เกิดก๊วนคุณกิจหรือชุมชนนักปฏิบัติ(Community
of practice)โดยกลุ่มต้องมีเรื่องที่สนใจร่วมกัน
มาพบปะกันสม่ำเสมอและได้ผลลัพธ์เป็นการปฏิบัติที่ดี
การเทียบเคียงมาตรฐานระหว่างแผนกหรือหน่วยงานสามารถใช้เครื่องมือชุดธารปัญญาช่วยได้โดยกำหนดประเด็นที่สนใจและปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในตารางอิสรภาพพร้อมค่าคะแนนประเมินที่บ่งชี้ความสำเร็จอย่างเหมาะสม
ทุกหน่วยยอมรับและเข้าใจตรงกันแล้วให้แต่ละหน่วยไปประเมินนำผลมาเปรียบเทียบกันเป็นรูปกราฟปรับสู่ธารปัญญาและแผนภูมิขั้นบันได
นำหน่วยที่มีผลงานที่ดีมาแลกเปลี่ยนสรุปเป็นแก่นความรู้
นำไปสู่การกำหนดวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best
practice)แล้วให้แต่ละหน่วยนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร
หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งก็นัดกันกลับมาประเมินเทียบเคียงและแลกเปลี่ยนกันต่อไปเรื่อยๆก็จะได้การปฏิบัติที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
5. การจัดการให้เกิดขุมทรัพย์ความรู้(Knowledge Assets)
การจัดทำคลังความรู้หรือขุมปัญญาเพื่อให้มีการเก็บสั่งสม(ไม่ใช่สะสม)องค์ความรู้ที่สามารถปรับให้เหมาะกับสถานการณ์และเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้
ต้องจัดการให้เข้าถึงง่าย นำมาใช้ง่าย ตรวจสอบ ทบทวน ต่อยอดได้ง่าย
การแยกประเภทองค์ความรู้อาจแบ่งเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน,นวัตกรรมทั้งสิ่งประดิษฐ์
เชิงระบบบริการ เชิงระบบริหาร
สถานที่เก็บอาจเป็นในรูปแบบเอกสารที่หน่วยงาน
ศูนย์คุณภาพหรือศูนย์สารสนเทศ
หรือในรูปแบบอิเล็กโทรนิกส์ไฟล์ในระบบอินทราเน็ตหรืออินเตอร์เน็ต
จัดผู้ดูแลระบบเป็นบรรณารักษ์ความรู้
กำหนดการเข้าถึงทั้งสิทธิและวิธีการเข้าถึงของบุคคลทั้งภายในภายนอกเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย
กระจายความรู้ที่มีอยู่
กำหนดการทบทวนปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ที่มีใช้อย่างเหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ได้
ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลบ้านตากมีคลังความรู้ที่เป็นเรื่องของวิธีปฎิบัติและแนวทางการดูแลผู้ป่วย
มากกว่า 400 เรื่อง
ทั้งหมดนี้คือกระบวนการจัดการความรู้ที่บุคลากรของโรงพยาบาลบ้านตากทำอยู่เป็นปกติในงานประจำและไม่ได้ใช้คำว่า
“จัดการความรู้” แต่เป็นการทำงานอย่างบูรณาการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ดังที่ นพ.พิเชฐ บัญญัติ ผอ.รพ.บ้านตาก กล่าวไว้ว่า
”เราใช้การจัดการความรู้เพราะเราอยากจะทำ ทำเพราะเห็นประโยชน์
ไม่ได้ทำเพราะกระแส เราไม่เคยถูกใครบังคับ
เราไม่มีงบประมาณโยนมาให้ เราไม่มีนโยบายบังคับเราแต่เราทำ
ฉะนั้นผมคิดว่ามันยั่งยืนแล้วมันไปได้
เรามั่นใจว่าการจัดการความรู้เป็นเรื่องที่ต้องทำไป เรียนรู้ไป
เพราะการจัดการความรู้ ไม่ทำ...ไม่รู้...และเมื่อ
ไม่รู้...ต้องทำ..”
นพ.พิเชฐ บัญญัติ ,เกศราภรณ์
ภักดีวงศ์,คุณเทพทวย มูลวงศ์
โรงพยาบาลบ้านตาก อ.บ้านตาก จ.ตาก
โทร.0-5559-1435-6
http://www.bantakhospital.com
ไม่มีความเห็น