ข้อควรเข้าใจเบื้องต้น
การวิเคราะห์ปัญหาของคนที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
กับคนที่หมดความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว
แม้คำจะเป็นคำเดียวกันหรือประโยคจะเป็นประโยคเดียวกัน
ระดับของความหมายในเนื้อคำมีความแตกต่างกัน อีกอย่างหนึ่ง
การศึกษาข้อมูลของคนเต็มเปี่ยมด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง
กับคนที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเบาบาง ย่อมมีอรรถแห่งสาระ
(ซึมซับความรู้ – รู้สึก – สิ่งที่ได้จากการศึกษา)
ที่แตกต่างกัน
จุดเริ่มต้นจริงๆแล้ว
ผมแค่เพียงอยากเสนอหัวข้อความฝันบางหัวข้อเท่านั้น
แต่ทำไปทำมาเห็นจะไม่ควร เพราะถ้าเสนออย่างนั้น
มันเป็นการเจาะจงเกินไป
อาจเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้เสนอกับผู้รับได้
“สิ่งที่มองเห็นสัมผัสได้ อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป”
อีกอย่างหนึ่ง การเสนอเนื้อหาควรให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน
ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากความฝันข้อที่ ๑
เป็นลำดับไป
ต้นเรื่อง
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสุบินว่า “โคตัวผู้ ๔ ตัว มีสีเหมือนดอกอัญชัญ
วิ่งออกสู่ท้องพระลานหลวง ทำทีขะมักเขม้นจะชนกันให้ได้
ชาวบ้านชาวเมืองต่างมุงดูด้วยคิดว่าจะได้ดูโคชนกัน โคทั้ง ๔ ตัว
ต่างคำรามเสียงขู่สนั่น แต่...ไม่นานก็ผละออกจากกันไป”
คำพยากรณ์
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า “มหาบพิตร ผลของสุบินข้อนี้
จักไม่มีในชั่วรัชกาลของมหาบพิตรในชั่วศาสนาของตถาคต แต่ในอนาคต
เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ในรัชกาลของพระราชาผู้กำพร้า
ผู้มิได้ครองราชย์โดยธรรม และในกาลของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
เมื่อกุศลธรรมลดน้อยถอยลง อกุศลธรรมหนาแน่นขึ้น ในกาลที่โลกเสื่อม
ฝนจักแล้ง และตีนเมฆจักขาด ข้าวกล้า จักแห้ง ทุพภิกขภัยจักเกิด
เมฆทั้งหลายตั้งขึ้นจากทิศทั้ง ๔ เหมือนจะย้อยเม็ด
พอพวกผู้หญิงรีบเก็บข้าวเปลือกเป็นต้น ที่เอาออกผึ่งแดดไว้เขาภายในร่ม
เพระกลัวจะเปียก เมื่อพวกผู้ชายต่างถือจอบถือตะกร้าพากันออกไป
เพื่อจะก่อคันกั้นน้ำ ก็ตั้งเค้าจะตก ครางกระหึ่ม
ฟ้าแลบแล้วก็ไม่ตกเลย ลอยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนแล้วไม่ชนกันฉะนั้น
นี้เป็นผลของสุบินนั้น แต่ไม่มีอันตรายได ๆ แก่มหาบพิตร
เพราะเรื่องนั้นเป็นปัจจัย มหาบพิตรเห็นสุบินนี้ ปรารภอนาคต
ฝ่ายพวกพราหมณ์อาศัยการเลี้ยงชีวิตของตน จึงทำนายดังนี้
พระบรมศาสดาครั้นตรัสบอกผลแห่งสุบินด้วยประการฉะนี้แล้ว ตรัสว่า
จงตรัสเล่าสุบินข้อที่ ๒ เถิดมหาบพิตร” (คัดลอก)
ถอดความคำพยากรณ์
ผลของความฝันในหัวข้อนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้าปเสนทิโกศล
ในช่วงศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ก่อน แต่ในอนาคต
ในสมัยของพระราชาผู้กำพร้า ขาดบริวาร ขาดที่พึ่ง
ผู้มิได้ครองราชย์โดยธรรม และในสมัยที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
เมื่อสิ่งดีลดน้อยถอยลง ความชั่วหนาแน่น ในช่วงที่โลกเสื่อม ฝนจักแล้ง
เมฆจักขาด ข้าวกล้า จักแห้ง ความอดอยากจักเกิด
เมฆทั้งหลายก่อตัวขึ้นจากทิศทั้ง ๔ เหมือนฝนจะตก
พอพวกผู้หญิงรีบเก็บข้าวเปลือกเป็นต้น
ที่เอาออกผึ่งแดดไว้เข้าภายในร่ม เพระกลัวจะเปียก
เมื่อพวกผู้ชายต่างถือจอบถือตะกร้าพากันออกไป เพื่อจะก่อคันกั้นน้ำ
ฝนก็ตั้งเค้าจะตก เสียงฟ้าครางกระหึ่ม ฟ้าแลบแล้วก็ไม่ตกเลย ลอยหายไป
เหมือนโคตั้งท่าจะชนแล้วไม่ชนกันฉะนั้น
นี้คือผลของความฝันข้อนี้..
ข้อควรพิจารณา
จากความฝันข้อนี้ ชี้ให้เห็นว่า
ในช่วงที่โลกซึ่งหมายถึงประชากรของโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองในสมัยนั้นคือกษัตริย์ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองแผ่นดิน
ส่วนปัจจุบันในประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตย
ผู้ปกครองก็คือฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจในการวางนโยบายบนแผ่นดิน
ซึ่งอาจตีความถึงผู้นำองค์กร ผู้นำชุมชน และผู้นำทางความคิดได้ด้วย
ในข้อนั้นชี้ว่า
ผู้ได้อำนาจมาด้วยความไม่ชอบด้วยธรรมหรือทำหน้าที่ด้วยความไม่ชอบด้วยธรรม
จะไม่มีมิตรที่แท้จริง (บริวาร) เมื่อหามิตรที่แท้จริงไม่ได้
ก็ยากที่จะไว้ใจหรือพึ่งพาใครได้อย่างสนิทใจ
กลายเป็นคนโดดเดี่ยวท่ามกลางความไม่น่าไว้วางใจในสิ่งรอบข้างเสมือนคนกำพร้า
เมื่อต่างคนต่างก็ไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ ความชั่วเพิ่มมากขึ้น
ความดีลดน้อยถอยลงไปทุกที ในยุคสมัยเช่นนี้
เป็นยุคสมัยที่เสื่อมทั้งบุคคลและผืนแผ่นดิน กล่าวคือ
ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แห้งแล้งขาดแคลนอาหาร
บางครั้งทำท่าเหมือนฝนจะตกให้ผู้คนได้ดีใจ แต่ไม่ตก
อีกนัยหนึ่งอาจตีความไปถึงว่า เรื่องที่ดีๆเหมือนจะเกิดขึ้น
แต่เป็นแค่เพียงมายาภาพเท่านั้น
คติปรัชญา
จะหาความแน่นอนอะไรได้กับปรากฏการณ์ทั้งหลาย
<p align="justify"> </p>
ไม่มีความเห็น