ความคิดเห็น : การเมืองแบบใหม่
โดย กมลรส โมฆรัตน์
นิสิต ป.โท วัฒนธรรมศาสตร์ รหัส 51015580001
หากไม่มีสถานการณ์ กันยายน 2549 ก็คงไม่มีสถานการณ์ สิงหาคม 2551 ซึ่งเป็นการยกระดับและพัฒนากระบวนการสู่พัฒนาการ การเมืองสมัยใหม่
ปัญญาชน นักวิชาการ นักธุรกิจ องค์กรภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยทำให้เกิดจุดต่าง ... ทางการเมือง จุดแห่งการเมืองใหม่ที่ยากแก่การประนีประนอมอย่างง่ายดาย
วาระของประเทศกำลังเข้าสู่การถกเถียงเรื่อง “การเมืองใหม่” ถ้าจะให้ประเทศชาติพ้นจากความวุ่นวาย เราจะต้องโละทิ้งการเมืองเก่า แล้วหันมายอมรับให้การเมืองใหม่ เกิดขึ้น แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าการเมืองใหม่คืออะไร ส่วนการเมืองเก่านั้นเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าคือการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยประชาชนทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปี มีสิทธิเท่าๆกันที่จะเลือกผู้สมัครเข้าไปเป็น ส.ส. ในสภา จากนั้น ส.ส. ก็เลือกผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วนายกรัฐมนตรีก็เลือกผู้ที่จะมาเป็นคณะรัฐมนตรี
ก่อนหน้านั้นการเมืองเหล่านี้คือสิ่งที่เราเรียกร้องให้เกิด เพราะมีความเชื่อมั่นว่า “ประชาชนจะมีความเท่าเทียมกันในการมีส่วนร่วมทางการเมือง” แต่ในวันนี้หลายกลุ่มที่มีบทบาทในการกำหนดการบริหารบ้านเมืองบอกว่า “การเมืองแบบนี้เป็นต้นเหตุของเผด็จการรัฐสภา” นำมาซึ่งอำนาจผูกขาดของกลุ่มนายทุน เป็นช่องทางให้ ทุนนิยมผูกขาด เข้ามายึดอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตนเองและพวกพ้องก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับประชาชนโดยรวม
ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่ว่าต้องกำจัดการเมืองเก่า และสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมา
หลายสูตรถูกเสนอ โครงสร้างของรัฐสภาต้องเปลี่ยนไป ที่มาของส.ส. จะไม่ให้ประชาชนเลือกกันด้วยสิทธิ์ที่เท่าเทียมกันอีกแล้ว จะต้องคิดรูปแบบที่มาของ ส.ส. กันใหม่เพื่อให้มีคุณภาพมากกว่า
กล่าวอย่างง่ายก็คือ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแบบเดิม ที่ประชาชนใช้สิทธิเลือกเข้ามานั้นจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งจะเป็น ส.ส. ที่มาจากวิธีการพิเศษที่ยังคิดไม่ตกว่าจะเอาแบบไหนดี
จึงเรียกการเมืองใหม่นี้ว่า “การเมืองภาคประชาชน” ที่ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าเป็นการ “ลดความเท่าเทียมกันของสิทธิประชาชน” เสียมากกว่า เพราะจะมีประชาชนสักกี่คนที่เข้ามามีบทบาทในระดับที่มีสิทธิเลือกผู้แทนในโควตาของสถาบันหรือองค์กร
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกลุ่มที่มีบารมีทางการเมืองในปัจจุบัน เห็นว่าการปล่อยให้ประชาชนใช้สิทธิอย่างเท่าเทียมกันนี้ ทำให้ได้ ส.ส. ที่ไม่มีคุณภาพ โครงสร้างการเมืองเก่าถูกครอบงำด้วยระบบอุปถัมภ์ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้การเมืองไม่มีคุณภาพ
เมื่อเห็นแบบนี้ก็มีนักวิชาการหลายฝ่ายออกมาสนับสนุนกันอย่างคึกคัก แม้แต่อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีเกียรติประวัติเรื่องการเมืองการปกครองยังออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า โดยบอกว่าการเมืองใหม่จะไม่ถูกชักจูงโดยกลุ่มผลประโยชน์ เพราะส.ส. ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่อยู่เพียงแค่อำนาจผู้มีบารมีทางการเมืองเหล่านั้น หากแต่อยู่ที่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่จะรู้สึกอย่างไรกับการถูกลิดรอนความเท่าเทียมกันในสิทธิทางการเมือง ด้วยท่าทีหมิ่นแคลนของผู้มีบารมีทางการเมืองเหล่านี้ ที่มองว่าประชาชนถูกชี้นำทางการเมือง
หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์ทางการเมืองจะเห็นว่าประชาชนเหล่านี้ไม่ได้เลือก ส.ส. เพราะถูกชี้นำหรือทำตามกระแส การเทคะแนนไปยังพรรคใดพรรคหนึ่งโดยมิได้นัดหมายนั้น เป็นนัยทางการเมืองอย่างหนึ่งที่ยากต่อการเข้าใจของนักการเมือง ดังนั้นการกล่าวหาว่าประชาชนถูกชี้นำทางการเมืองจึงไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะประชาชนเหล่านี้เป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ชอบดำเนินชีวิตอยู่ตามปกติ ตามกรอบตามกติกาของสังคม แต่เวลามีการเลือกตั้งก็ให้ความสำคัญและไปใช้สิทธิเท่าที่ตัวเองมีสิทธิคือลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งเป็นการใช้สิทธิอย่างตรงไปตรงมาตามความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมหรือชุมชนเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
โดยผลที่ออกมาบางครั้งนักการเมืองก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่ประชาชนบอกว่าเลือกในสิ่งที่ชุมชนอยากเลือก
ทำให้คนบางคนที่ทำตัวเป็นผู้ตัดสินความดี ความเลว เกิดความรู้สึกว่า ยอมไม่ได้ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้จะได้นักการเมืองเลวมาปกครองประเทศอีก
คนพวกนี้ประณามประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างปกติ ทำหน้าที่ตามสิทธิของตนเองว่า “พวกยอมจำนน” โดยไม่คิดว่าการเลือกตั้งแบบใหม่ที่เสนอมานี้ ประชาชนต้องเห็นด้วยหรือไม่ จึงจะถือเป็นผู้มีจิตสำนึกประชาธิปไตย ผู้ที่เห็นด้วยเท่านั้นหรือ จึงจะไม่ถูกเรียกว่า เป็นผู้ยอมจำนน ก่อนที่จะหาประเด็นกล่าวหาประชาชน ควรได้คิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน เพราะประชาชนรู้เห็นในการเมืองทุกอย่างแต่ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้นเอง
อ้างอิง
หนังสือพิมพ์มติชน. ฉบับวันพุธ ที่ 1 ตุลาคม 2551.