ปฏิรูปการศึกษา พ่อแม่รู้บทบาทหน้าที่ตัวเองแค่ไหน?โดย กองบรรณาธิการนิตยสารรักลูก |
|
|
|
|
|
ผ่านพ้นมาแล้วกว่า 4 ปีกับการปฏิรูปการศึกษา แต่อะไรๆยังคงดู คลุมเครืออยู่ในสายตาพ่อแม่ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและเกี่ยวพันกับลูกรักของเราโดยตรง !!ปฏิรูปการศึกษาใช่เป็นเรื่องของนักการศึกษาเท่านั้นนะคะ แต่จริงแล้วเกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวพ่อแม่อย่างเราๆนี่เอง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในหน้าที่ของพ่อแม่ต่อการศึกษาของลูก และเพื่อให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ลองมาฟังคำอธิบายจาก ดร.สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ หัวหน้าภาควิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรกันเลยดีกว่าค่ะ แม้จะมีการปฏิรูปการศึกษามา 4 ปีกว่าๆ แต่สำหรับพ่อแม่ยังคงรู้สึกเหมือนไร้ทิศทางกับเรื่องดังกล่าว ในฐานะที่อาจารย์คลุกคลีกับวงการศึกษามาตลอด จึงอยากขอคำแนะนำค่ะว่าพ่อแม่ควรจะตั้งรับกับเรื่องนี้อย่างไร ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดพ่อแม่ต้องหมั่นขวนขวายหาข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา เช่น ในหนังสือ ในเอกสารสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ และในวารสาร และพยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นพ่อแม่ควรถามตัวเองว่าเป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร และเป้าหมายชีวิตของลูกคืออะไร การศึกษาคืออะไร ซึ่งความจริงการศึกษาคือการนำความรู้ที่สะสมทั้งหมดมาลงสู่ภาคปฏิบัติ ดังนั้นพ่อแม่ควรจะสอนให้ลูกรู้จักใช้ชีวิตเป็น อยู่ในสังคมได้ เช่น สอนให้ลูกติดดิน สอนให้ลูกยืนหยัดด้วยตัวเอง สอนให้ลูกเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค ซึ่งการผลิตที่ว่าอาจหมายถึงแค่ว่าลูกรู้จักทำความสะอาดบ้าน ถูบ้าน ปัดกวาดบ้านเป็น ผู้ผลิตคือผู้ลงมือทำงาน นอกจากนั้นพ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ จะว่าไปแล้วการปฏิรูปการศึกษาทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในตรงนี้ เช่นทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ตามพ.ร.บ.การศึกษาอาจจะให้สิทธิ์กับพ่อแม่ในการพัฒนาหลักสูตร แต่เอาเข้าจริงกลับพบว่าหลายๆโรงเรียนไม่ได้อนุญาตให้พ่อแม่เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างจริงๆจังๆงานการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กๆของเราเติบโตอย่างมีคุณภาพต้องเป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน การทำพ.ร.บ.การศึกษาให้สิทธิ์พ่อแม่ในการพัฒนาหลักสูตรเป็นหนทางหนึ่งของการจัดการเรียนที่ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งครอบครัว โรงเรียน และชุมชนจึงต้องพยายามจัดสิ่งแวดล้อมให้เด็กเกิดการรับรู้ในเชิงบวกในสถานการณ์แวดล้อมที่เด็กเติบโตมาที่ร่ายยาวมาทั้งหมดต้องการให้บ้านและโรงเรียนมีวิถีทางการทำงานร่วมกันอย่างละมุนละม่อม กรณีที่บางโรงเรียนยังไม่ให้โอกาสกับผู้ปกครองในการมีส่วนร่วมจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนในโรงเรียน ผู้ปกครองคงต้องใช้วิธีการที่แยบยลที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งหรือบรรยากาศของการเป็นคนละฝ่าย เพราะผลเสียจะกระทบมาที่ตัวเด็กหรือลูกของเรา ขณะเดียวกันโรงเรียนต้องมีความชัดเจนในหลักการจัดการศึกษาสามารถชี้แจงให้รายละเอียดของจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนในโรงเรียน ทุกฝ่ายต้องเป็นกัลยณมิตรต่อกัน เพื่อจะได้ร่วมใจร่วมคิดร่วมมือในการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างมีคุณธรรม ขอย้อนกลับมาที่การปฏิรูปการศึกษากันอีกครั้ง อยากทราบว่าตอนนี้มีความคลุมเครืออยู่มาก โดยส่วนตัวอาจารย์คิดว่าพ่อแม่ควรขวนขวายหาความรู้เรื่องอะไรบ้างคะ จริงๆ แล้วเนื้อหาในพ.ร.บ.การศึกษาจะค่อนข้างชัด แต่การตีความและนำมาใช้ยังเบี่ยงเบนกันอยู่ เช่น หลักสูตรสถานศึกษาที่โรงเรียนบางแห่งยังสอนแบบดั้งเดิม ยังไม่ได้เปลี่ยนไปสู่ระบบการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ตรงจุดนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดว่าเรื่องเด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ซึ่งพ่อแม่และครูส่วนใหญ่มักคิดว่าเด็กเป็นศูนย์กลางคือเราต้องตามใจเด็กไปเสียหมดทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงคือ การเรียนการสอนที่ครูต้องมีกรอบวิชาแน่น และสอนให้ตรงกับพัฒนาการของผู้เรียน รู้เท่าทันผู้เรียน ท้ายสุดต้องเห็นประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ คือต้องรู้ว่าควรกำหนดวิธีการเรียนรู้อย่างไรที่เหมาะกับเด็กคนนั้นๆ และเนื้อหาการเรียนรู้ที่เหมาะกับเขา เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเด็กคนนั้นในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องดูไปหมดทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ความคลุมเครืออีกเรื่องคงจะเป็นเรื่องการเขียนหลักสูตร ซึ่งตอนนี้ครูเราก็มีปัญหาว่าเขียนไม่ค่อยจะเป็นกันเท่าไหร่ เพราะชินกับการที่มีคนเขียนตำรามาให้เสร็จ ครู เพียงหยิบเอาคู่มือ ครูมาแล้วไปสอนจนจบเทอม โดยบางครั้งครูเองยังไม่ได้มานั่ง คิดวิเคราะห์เลยว่าเด็กได้อะไร หรือควรเชื่อมโยงความรู้ให้เด็กได้อย่างไร ในส่วนของพ่อแม่เองก็ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของตัวเองว่าสามารถเข้าไปร่วมคิดหลักสูตรการเรียนการสอนให้ลูกตัวเองได้ เช่น ทางโรงเรียนจะเป็นผู้เขียนหลักสูตรขึ้นมาก่อน แล้วมาให้พ่อแม่ช่วยฟังและวิจารณ์ การปฏิรูปการศึกษาน่าจะรวมถึงการเรียนฟรี 12 ปี แต่เอาเข้าจริงพ่อแม่กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายในภาคอนุบาลอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นมีทางเป็นไปได้ไหมคะว่าพ่อแม่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรือถ้าจะเสียควรจะเสียให้น้อยที่สุดล่าสุดได้ข่าวมาว่ารัฐบาลจะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 12 ปี ซึ่งตรงจุดนั้นผู้ปกครองมีทางเลือกในการรับการอุดหนุนจากรัฐว่าต้องการเงินช่วยเหลือตั้งแต่ปฐมวัย - ม.4 หรือ ป.1-ม.6 พูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่าพ่อแม่สามารถได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเป็นเงินบางส่วน เช่นสมมติว่าพ่อแม่อาจจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนลูกเป็นเงินค่าเทอมปีละ 50,000 บาท แต่เมื่อรัฐบาลประกาศเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานออกมา พ่อแม่สามารถได้เงินอุดหนุนจากรัฐได้ในบางส่วนจากค่าเทอมจริงที่ต้องเสียไป ที่เหลือพ่อแม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง เพราะเงินอุดหนุนที่ว่าไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ถ้าพ่อแม่คนไหนอยากรู้รายละเอียดเงื่อนไขการได้เงินอุดหนุนจากตรงนี้สามารถขอข้อมูลจากโรงเรียนนั้นๆเอง หรือจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ อนึ่ง เงินอุดหนุนดังกล่าวที่พ่อแม่จะได้รับจากรัฐนั้นจะครอบคลุม แค่เรื่องการศึกษาที่จำเป็นจริงๆโดยไม่ครอบคลุมเรื่องค่าเรียน พิเศษอื่นๆ ดังนั้นตรงนี้โรงเรียนมีสิทธิ์ขอเพิ่มได้ค่ะ เหตุที่การปฏิรูปการศึกษายังดูคลุมเครือจนล่าช้านั้น เป็นเพราะโรงเรียนแต่ละแห่งยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่าคะ การปฏิรูปการศึกษาคือการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน ดังนั้นครูและผู้บริหารในโรงเรียนคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติ ไตร่ตรอง และตรวจสอบว่าทิศทางที่โรงเรียนกำลังปฏิบัตินั้น ใช่ที่จะเป็นหนทางของการนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนั้นโรงเรียนต้องศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานต่างๆ และโรงเรียนอื่นๆ ที่คิดว่าจะเป็นผู้นำของการปฏิรูปการศึกษาได้ ที่สำคัญโรงเรียนต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อจะวิจัยค้นหาคำตอบของแนวทางในการปฏิบัติ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียนอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐาน เริ่มจากวันนี้ อยากเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ปรับความคิดและหาแนวทางสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกกันเสียใหม่ โดยยึดเป้าหมายที่จะทำให้..ลูกเราคิดเป็น ทำเป็น และพึ่งตัวเองได้ในท้ายสุดเป็นสำคัญค่ะ ข้อมูลจาก : นิตยสาร รักลูก ฉบับที่ 252 เดือนมกราคม พ.ศ. 2547 |