ดอกรัก
นาง อมรรัตน์ เปิ้ล เถื่อนทอง

บุคลิกกับความน่าเชื่อถือ


การบริหารบุคลิกภาพ

 

วิธีการปรับปรุงบุคลิกภาพ

        การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน

1.      การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง คือ การยอมรับว่าตนมีสภาพ   เช่นนั้นไม่ว่าจะ

เป็นที่นิยมชมชอบของบุคคลอื่นหรือไม่ บุคคลย่อมมีโอกาสแสวงหาความสุขความสำเร็จได้จากสิ่งที่ตนมี เช่นหน้าตาไม่สวยแต่เป็นคนร่าเริง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าสวยข้างใน

2.      การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ ดังได้กล่าวแล้วว่า องค์ประกอบของบุคลิกภาพ

หลายอย่างย่อมอยู่ในวิสัยที่แต่ละคนจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ถ้าได้วิเคราะห์ตนเองโดยละเอียดแล้วก็จะมองเห็นสิ่งที่ควรปรับปรุงอยู่หลายประการ เมื่อเราทราบความจริงเช่นนั้นบุคคลควรพยายามปรับปรุงในสิ่งที่ทำได้และข้อสำคัญจะต้องกระทำด้วยตนเอง จะให้คนอื่นทำแทนไม่ได้และที่ควรเริ่มปรับปรุงก่อนคือการปรับจิตปรับใจ ให้ยอมรับได้ อภัยได้ หลังจากนั้นจะปรับเรื่องใดๆ ก็ง่ายแล้ว

3.      การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ เป็นธรรมดาคนที่หน้าตาผิวพรรณดีย่อมจะมี

กำไรได้เปรียบผู้อื่น แต่กิริยามารยาทและการวางตัวในสังคมย่อมเป็นส่วนประกอบอันสำคัญที่ทำให้บุคลิกภาพของคนแตกต่างกัน คนสวยที่ขาดมารยาทอันดีงามอาจเป็นคนที่น่ารังเกียจของสังคม คนหน้าตาไม่สวยแต่ประพฤติดีย่อมเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป คนรูปหล่อนิสัยเลวกับคนขี้เหล่นิสัยดีเราจะเลือกใคร ความสวยเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นซึ่งถ้าบุคคลส่งเสริมด้วยวิธีการอันถูกต้องจึงจะเกิดประโยชน์ ถ้าส่งเสริมไม่ดีก็จะเป็นผลร้ายแก่ตนเองสิ่งที่จะนำมาใช้หรือส่งเสริมรูปธรรมของตนนั้นมีอยู่เป็นอันมากเช่น มารยาทอันดี น้ำใจที่กว้างขวาง การยึดมั่นในศีลธรรมที่ถูกต้อง การวางตัวที่ถูกที่ควร ไมตรีจิตที่มีต่อคนอื่น ความรับผิดชอบ ความโอบอ้อมอารีล้วนแต่เป็นคุณสมบัติที่ดีในการส่งเสริมบุคลิกภาพ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพทั้งสิ้น

 การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ  เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม   มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง

          4. การรู้สึกความท้อถอย

บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ   แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนมีหลายเรื่องที่เราสมหวังและก็มีอีกหลายเรื่องเหมือนกันที่เรารู้สึกเสียใจพูดไม่ออกบอกกับใครก็ไม่ได้ หรือถ้าบอกไปแล้วอาจทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่ มีมากกว่าเดิม อาการที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บางครั้งเหนื่อย เบื่อ อ่อนล้า มีความคับข้องใจ ตัดสินปัญหาง่ายๆที่น่าจะทำได้ แต่ก็ทำไม่ได้และในทางจิตวิทยาเราเรียกว่า อาการท้อ หรือถ้าพูดให้เป็นวิชาการ เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า ความท้อถอย 

ในเรื่องความท้อถอย  มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ แต่มีหลายท่านที่รู้จักและมีคนจำนวนมากที่กำลังท้อถ้ามีอาการเหล่านี้   แนวทางที่จะช่วยให้บุคคลบรรเทาความท้อลงได้อาจพิจารณาได้ดังนี้คือ

มนุษย์เรามีความท้อถอยซึ่งสามารถสังเกตได้จากอาการ   3 ลักษณะ คือ

1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์   ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด   ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์  

2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย ระแวง ไม่ไว้ใจคนอื่นมองเห็นเพื่อนไม่ใช่เพื่อน คิดทำร้ายตนเองและคิดว่าคนอื่นจะทำร้ายตนเช่นกัน บุคคลในกลุ่มนี้จะรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า มีความรู้สึกทางด้านลบ

3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของตน    บางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ

ความท้อถอยของมนุษย์แบ่ง ได้ 3 ระดับ คือ ความท้อถอยในระดับสูง ความท้อถอยในระดับปานกลาง   และความท้อถอยในระดับต่ำ   โดยในแต่ละระดับบุคคลจะมีบุคลิกภาพดังนี้คือ

1. ความท้อถอยในระดับสูง คนที่ท้อถอยในระดับนี้นั้นจะมีความอ่อนล้าทางอารมณ์ค่อนข้างมากและมีความรู้สึกด้อยในคุณค่าของตนเองมากเช่นกัน   แต่ในเรื่องความสำเร็จของงานบุคคลในกลุ่มนี้จะ รู้สึกว่างานของตนไม่พัฒนา หรือไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หรืองานอยู่ในระดับต่ำนั่นเองบุคลิกภาพที่พบคือมักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองกระทำรวมทั้งไม่พอใจในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ขาดความมั่นใจในตนเอง

2. ความท้อถอยในระดับปานกลาง   บุคคลประเภทนี้จะมีความท้อในในสามลักษณะที่กล่าวมาในระดับปานกลาง   เรียกได้ว่าอาการท้อถอยมีเหมือนกันแต่มีในระดับกลางๆ ยังไม่เข้ามาทำลายอารมณ์และความรู้สึกมากนัก บุคลิกภาพของคนกลุ่มนี้มีความเชื่อมั่นกลางๆ

3. ความท้อถอยในระดับต่ำ บุคคลในกลุ่มนี้น่าสนใจเพราะ บุคคลในกลุ่มนี้จะมีความท้อถอยในเรื่องความอ่อนล้าทางอารมณ์และความรู้สึกด้อยคุณค่าในตนเองต่ำ สิ่งที่น่าสนใจคือ บุคคลในกลุ่มนี้ จะมีความสำเร็จส่วนบุคคลสูง   มีบุคลิกภาพเชื่อมั่นในตนเอง

สาเหตุของความท้อถอย ผู้เขียนขอสรุปเรื่องความท้อถอยมีสาเหตุดังต่อไปนี้

ประการแรกสาเหตุทางด้านบุคลิกภาพ    บุคลิกภาพเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้บุคคลมีอาการท้อถอย บุคลิกภาพที่ทำให้บุคคลท้อถอย คือ

1. บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่นเป็นบุคคลที่กลัวง่ายวิตกกังวลง่ายชอบที่จะขอความช่วยเหลือ

จากคนอื่น ทำงานตามคำสั่ง กลุ่มคนพวกนี้ถ้าเกิดอาการท้อเมื่อไรก็จะท้อถอยอย่างรุนแรง

2. บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น บุคคลประเภทนี้มักเป็นคนหัวดื้อบอกไม่ฟัง เคารพความคิดเห็นของตนเองว่าถูกต้องปฏิเสธความคิดเห็นของคนอื่นๆ บุคคลประเภทนี้มักไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และชีวิตงานเพราะความดื้อของตน จึงเป็นสาเหตุให้สะสมความท้อไว้ในตัวค่อนข้างมาก

3. บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง คิดแต่ว่าตนเองเก่งชอบเอาแต่ใจตนเองจนเป็นนิสัย   มั่นใจจนทำงานผิดพลาดบ่อยๆ แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาของตน นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ตัวเองเชื่อว่าตนเองถูก ตนเองทำดี พอท้ายสุดไม่ถูก ไม่ดี ไม่เก่ง อย่างที่ตนเองคิด ความท้อถอยก็เกิดขึ้น

4. บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง ทำอะไรก็รู้สึกผิดไปทุกอย่าง คนในกลุ่มนี้มีความท้อถอยแน่นอน

ประการที่สองสาเหตุทางด้านอายุ

การวิจัยจากหลายหน่วยงานทั้งจากต่างประเทศและในประเทศพบว่า บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะ ความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์   วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น รวมไปถึงบุคคลที่มีความสามารถในการปรับตัวได้ย่อมมีความท้อถอยในระดับต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีอายุ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจะไม่มีคามท้อถอย เราทุกคนอาจเกิดอาการท้อถอยได้เช่นกันแล้วแต่ระดับความรุนแรงของปัญหาและวิธีการเลือกแนวทางแก้ไขของแต่ละคน แต่สำหรับข้อนี้ เชื่อว่าอายุน้อยความรุนแรงของความท้อ ก็มีมาก ถ้าเรามีเด็ก ๆ ในปกครอง เราอย่าสร้างความกดดันให้บุคคลมากนัก อย่าแสดงคาดหวังว่าเขาต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นสิ่งที่เราขีดเส้นให้เดิน ความคิดเช่นนี้จะทำให้สร้างความกดดันให้กับเด็กๆ ในปกครอง จงให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น สอนเรื่องคุณธรรม และการดำรงตนอย่างถูกทำนองคลองธรรม เท่านี้ความท้อก็ไม่เกิดกับเด็กๆในปกครองแต่ถ้าท่านยิ่งมีอายุสูงหน้ากากทางสังคมยิ่งสูง มีพฤติกรรมเสแสร้ง ตัวตนภายนอกกับตัวตนภายในไม่สอดคล้องกัน นานวัน อายุมากขึ้นบุคคลประเภทนี้ก็จะกลายเป็นคนเริ่มท้อ เหนื่อย ล้า และอ่อนเปลี้ยใจในที่สุด พอถึงเวลานี้แม้อายุจะมาก ประสบการณ์จะมากสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยท่านเลย

ประการที่สามสาเหตุทางด้านสถานภาพการสมรส

ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว    ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง แต่สำหรับบุคคลสมรสแล้ว ถ้าสภาพการสมรสเป็นไปด้วยดีมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ครอบครัวเข้าใจกัน ครอบครัวมีความรักความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เมื่อมีปัญหาใดในครอบครัวก็สามารถจัดการได้ในเวลาไม่นานนัก บุคคลที่มีครอบครัวอย่างที่กล่าวความท้อย่อมอยู่ในระดับต่ำ   แต่ถ้าบุคคลที่มีครอบครัวดีแต่ชีวิตการทำงานล้มเหลวหรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องงาน บุคคลก็จะมีความท้อถอยมาก และผู้ชายจะมีอาการท้อถอยมากกว่าผู้หญิงในกรณีนี้เพราะเมื่อผู้ชายมีอายุมากขึ้น ฐานะครอบครัวดีขี้น ลูกๆดี สิ่งทีผู้ชายปรารถนาคือ การก้าวไปสู่ตำแหน่งของงานที่สูงกว่าแต่ถ้าเผอิญงานล้มเหลว ผู้ชายจะมีระดับความท้อถอยมาก ความสุขของครอบ ครัวความสำเร็จของงานเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ในการมีชีวิตบางครั้งเราคงไม่ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าบุคคลยอมรับสภาพ และพยายามลดความต้องการของตนมา   ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการเล่นเกม จริงใจต่องาน จริงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ ทำงานเพราะงานนั้นเป็นงานของเราไม่คาดหวังอะไรมากนัก บางครั้งอาจเกิดความสุขได้เช่นกัน การแข่งขันที่ดีที่สุด คือการแข่นขันกับตัวเอง   ไม่เอาคนอื่น ไม่เอาสิ่งอื่นมาเป็นเงื่อนไขของสิ่งใดๆทั้งสิ้น เท่านี้ความท้อก็ห่างไกลและการที่บุคคลมีครอบครัวดี ความสำเร็จในชีวิตก็มีมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

ประการที่สี่สาเหตุทางด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ

อาการท้อของบุคคลมีสาเหตุมาจากการปฏิบัติงานอยู่หลายเปอร์เซ็นเช่นกันถ้าเป็นช่วงแรก ๆ ของการทำงาน เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น แต่ก็มีบางท่านที่เข้าสู่ระบบงานโดยมีเพื่อนร่วมงาน มีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือดี บุคคลประเภทนี้นับว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด เพราะจะมีอาการท้อถอยน้อยมาก เมื่อมีปัญหาใดๆ ก็มีเพื่อนคอยแนะมีพี่คอยชี้ทาง สำหรับบุคคลที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ยืนอยู่ด้วยขาของตนอง มีปัญหาใดๆมากระทบ ความท้อถอยจึงเกิดขึ้นได้ง่าย แก้ปัญหาความท้อไม่ได้ งานก็ทำไม่สำเร็จเดี๋ยวก็เกิดปัญหานั่นเดี๋ยวก็เกิดปัญหานี่ งานในความรับผิดชอบก็ตกต่ำลง บางทีงานยังไม่ถึงกับตกต่ำแต่ก็เกิดอาการท้อได้

 แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย  สามารถกระทำได้ดังนี้ คือ

1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น อาการท้อถอยเกิดขึ้น   จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อย

อ่อน ล้า เกิดความหวั่นไหวทางอารมณ์ ความวิตกกังวลอยู่ในระดับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าที่ท้อ ๆ อยู่นี่มันมาจากสาเหตุของครอบครัว สาเหตุจากงาน เพื่อนร่วมงาน ระบบงาน หรือสาเหตุอะไร พอได้สาเหตุนั้นแล้วเริ่มแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เรียงลำดับของปัญหาก่อนหลัง ปัญหาใดที่มีความรุนแรงน้อยเอามาแก้ก่อน พอเริ่มแก้ไขได้ ก็เริ่มแก้ไขปัญหาลำดับถัดไป   บางท่านมีสไตล์ไม่เหมือนใคร ท่านอาจแก้ที่ปัญหาใหญ่เลย ความท้ออันใหญ่หมดก่อนค่อยๆแก้สาเหตุแห่งความท้อเล็กๆ ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน เพราะคนที่รู้ดีว่าวิธีการใดดีที่สุดก็คือตัวท่านเอง

2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม เพราะสิ่งต่างๆในชีวิตเรานั้นไม่

สมดุลอย่างที่คิด   ยิ่งความคาดหวังกับผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานบางครั้งมันอาจเดินสวนทางกัน ส่วนปัจจัยใดไม่อาจสรุปได้ หรือไม่อาจเดาใจเจ้านายได้ พอมาถึงขั้นนี้ให้คิดเสียว่า    ความหวัง ความปรารถนาของเราสูงไป ทำให้เราไปไม่ถึงดวงดาว ก็ทำงานกันไป ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ยึดงานเป็นตัวตั้งอย่ายึดความท้อเป็นเพื่อนร่วมทางชีวิต บางทีหลายสิ่งหลายอย่างในวันนี้ที่ไม่ดีเราอาจได้ดีในส่วนอื่นก็ได้ เรียกได้ว่าเมื่อมีชีวิตก็หวังกันไป ให้กำลังใจตัวเองไป ถ้าเราไม่รู้จักให้กำลังใจตนเองใครที่ไหนจะคอยมาให้กำลังใจเรา

3.  สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่างานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้

สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน” ถ้าเราทำงานมากๆงานก็จะคุ้มครองคนทำงานเสมอทำงานแล้วรักงานที่เราทำ อย่าท้อ เช้าขึ้นมาเรารับประทานอาหารหลายอย่างแต่เราไม่กินอยู่อย่างหนึ่งคะ คือไม่กินลูกท้อ ไม่กินลูกหมากรากไม้อะไรที่ทำให้ใจคอเราห่อเหี่ยว   สร้างเจตคติใหม่ด้วยตัวเราเอง จงสร้างพลังและศักยภาพด้วยตัวเรา ไม่เอาตัวเราเปรียบเทียบกับคนอื่น เท่านี้ความท้อ ไม่มาเยือนท่านแน่นอน

4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายในชีวิตที่เราตั้งไว้ถ้ามีอุปสรรค

หรือถูกสกัดกั้น อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าพึ่งท้อเราอาจไม่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่ง แต่ในชีวิตเรามีตั้งหลายเรื่องที่เราจะประสบความสำเร็จ เราก็เอาความสำเร็จตรงนั้นมานั่งนึกมาสร้างกำลังใจ มาสร้างจุดมุ่งหมายใหม่ ชีวิตใหม่ก็จะมีพลัง จิตใจก็จะเข้มแข็ง

การที่บุคคลเกิดความรู้สึกท้อถอยซึ่งเป็นอาการภายในหรือบุคลิกภาพภายในที่ผลักดันให้

บุคลิกภาพภายนอกไม่สง่า ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง หมดกำลังใจ ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในอาการของความท้อ สาเหตุแห่งความท้อ และวิธีการสร้างพลังและศักยภาพในการเสริมสร้างกำลังใจให้ตนเอง บุคคลจะมีแนวทางที่ดีในการพัฒนาบุคลิกภาพให้สมบูรณ์ยิ่ง  ขึ้นต่อไป สร้างพลังภายในให้เข้มแข็ง สร้างกำลังใจให้ตนเองแล้วความฝัน ความหวังก็จะใกล้แค่เอื้อม

            สำหรับเรื่องบุคลิกภาพภายใน สุเมธ แสงนิ่มนวล ( 2545 : 108 ) อธิบายไว้ว่าบุคลิกภาพภายในมี 9 ประการคือ

            1. ความเชื่อมั่นในตนเอง

            2. ความกระตือรือร้น

            3. ความรอบรู้

            4. ความคิดริเริ่ม

            5. ความจริงใจ

            6. ไหวพริบปฏิภาณ

            7. ความรับผิดชอบ

            8. ความจำ

            9. อารมณ์ขัน

            ทั้งหมดนี้ถ้าอยากมีบุคลิกภาพดีต้องพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น บุคลิกภาพภายในอาจสร้างได้ดังแสดงในรูป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 รูปที่   แสดงเรื่องการฝึกปฏิบัติจิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขต

           พิษณุโลก ปีการศึกษา 2547

          การเสริมสร้างบุคลิกภาพ สุเมธ แสงนิ่มนวล ( 2545 : 108-109 )

1.      The way you look ยามที่มองใครอย่าจ้องหน้าใครนานอย่ามองแต่ตาให้มองทั้งหน้า

2.      The way you dress การแต่งกายดี

3.      The way you talk พูดแต่เรื่องดีๆ

4.      The way you walk เดินมองไปข้างหน้าอย่าก้มหน้า

5.      The way youact การแสดงออกทางท่าทาง เช่น การไหว้ ต้องไม่กางแขนหรือเก็บแขนจนเกินไป

6.      The skill with which you do ทำอะไรทำให้เกิดทักษะความชำนาญ

7.      Your health สุขภาพสำคัญ สุขภาพดี บุคลิกก็ดีด้วย การออกกำลังกายช่วยได้อย่างมาก

สำหรับกลวิธีปรับปรุงบุคลิกภาพ

1.      จงเป็นคนใจกว้าง

2.      จงให้ความร่วมมือกับผู้อื่น

3.      จงเป็นตัวของตัวเอง

4.      จงแสวงหาคำแนะนำ

5.      จงลงมือทำจนกว่าจะถูกต้อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


รูปที่    แสดงเรื่องการฝึกให้นักศึกษามีการพัฒนาจิต

 

       5.2.2 การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก

การปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอก ได้แก่การทำให้กิริยามารยาทของบุคคลดูดีในสังคมอาจเรียกว่าการมีมารยาทในสังคม มนุษย์อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เราต้องอยู่กับคนอื่นและเมื่อต้องอยู่กับคนอื่นเราก็ต้องรู้จักมีมารยาทที่ดีที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ในหัวข้อนี้จึงจำเป็นต้องศึกษาวิธีการปรับปรุงบุคลิกภาพภายนอกให้ดูดี หรือให้มีมารยาททางสังคมที่คนทั่วไปเขาปฏิบัติ

            มารยาท หมายถึง กฎเกณฑ์ของพฤติกรรมหรือแบบแผนแห่งพฤติกรรมซึ่งบุคคลพึงกระทำในสังคม พฤติกรรมที่สุภาพเรียบร้อยเรียกว่าสุภาพชน 

มารยาท หมายถึง กิริยางดงามและอัธยาศัยไมตรีที่บุ

คำสำคัญ (Tags): #ป
หมายเลขบันทึก: 212122เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2008 12:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 13:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะ บทความดีๆ น่าจดจำนำไปใช้ krutoi ขออนุญาต นำไปใช้นะคะ

การเสริมสร้างบุคลิกภาพ สุเมธ แสงนิ่มนวล ( 2545 : 108-109 )

1. The way you look ยามที่มองใครอย่าจ้องหน้าใครนานอย่ามองแต่ตาให้มองทั้งหน้า

2. The way you dress การแต่งกายดี

3. The way you talk พูดแต่เรื่องดีๆ

4. The way you walk เดินมองไปข้างหน้าอย่าก้มหน้า

5. The way youact การแสดงออกทางท่าทาง เช่น การไหว้ ต้องไม่กางแขนหรือเก็บแขนจนเกินไป

6. The skill with which you do ทำอะไรทำให้เกิดทักษะความชำนาญ

7. Your health สุขภาพสำคัญ สุขภาพดี บุคลิกก็ดีด้วย การออกกำลังกายช่วยได้อย่างมาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท