Cattellกับทฤษฎีบุคลิกภาพ


ทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ ( Factor Analytic Theory ) ของเรย์มอนด์ บี แคทเทลล์ ( Raymond B. Cattell ) เป็นนักจิตวิทยาบุคลิกภาพที่ได้พยายามศึกษาบุคลิกภาพอย่างมีระบบระเบียบ เป็นการพยายามที่จะนำวิชาบุคลิกภาพมาสู่การคิด การศึกษา การเข้าใจที่เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนเที่ยงตรงด้วยการวัดและวิธีคิดและวิธีการทางสถิติ อันเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง ประวัติและแนวคิดของเขาพอสรุปได้ดังนี้

ประวัติเรย์มอนด์ บี แคทเทลล์  ( Raymond B. Cattell )    เกิดที่เมือง   สตาฟฟอร์ดเชียร์ (Stanffordshire) ประเทศอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1905 - ค.ศ. 1998 เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของตระกูลแคทเทล ( Cattell ) สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาเคมี เกียรตินิยม   จากมหาวิทยาลัยคิงส์ (Kings College) ประเทศอังกฤษ เมื่อมีอายุเพียง 19 ปี หลังจากนั้นเขาได้สนใจในเรื่องจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ และได้ศึกษาสาขาจิตวิทยาต่อมาและสนใจเป็นผู้ช่วยนักวิจัยชื่อ Charles Spearman และเป็นผู้ให้สร้างทฤษฎีวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analytic Theory) ขณะที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยในการทำวิจัย กับนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง คือ ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) ศึกษาเรื่องสติปัญญา และได้ทำการทดสอบเพื่อศึกษาทางด้านสติปัญญาอย่างหลากหลายวิธีรวมทั้งได้หาค่าความสัมพันธ์ภายในของคะแนนจากแบบทดสอบและได้สรุปว่า   ความสามารถทางสติปัญญาประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั่วไป ( General Factors ) ทำให้แคทเทล รับวิธีการเหล่านี้ เป็นแนวทางในการศึกษาทางบุคลิกภาพและความสามารถในด้านต่างๆ ทำให้การวิจัยทางจิตวิทยาเป็นระบบระเบียบมากขึ้น รวมทั้งใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แคทเทลอธิบายคำว่า บุคลิกภาพไว้ว่าบุคลิกภาพ คือ สิ่งที่จะช่วยให้เราทำนายได้ว่าบุคคลจะทำอะไรในสถานการณ์ที่กำหนดให้ ดังนั้นบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องของพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล ทั้งพฤติกรรมที่เปิดเผยและพฤติกรรมที่ซ่อนเร้นและพฤติกรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ดังนั้นการศึกษาบุคลิกภาพจะต้องศึกษาพฤติกรรมทั้งหมดไม่ใช่ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แคทเทล (Hall and Lindxzey. 1970 : 386; citing Catelle. 1950 : 2 – 3)

โครงสร้างบุคลิกภาพของแคทเทล
ทฤษฎีบุคลิกภาพของแคทเทล มีโครงสร้างบุคลิกภาพประกอบด้วย อุปนิสัย ( Traits ) หน่วยพลัง ( Ergs ) เมตะเอิร์ก ( Metaergs ) สังกัปอุดหนุน ( Subsidiation ) และตัวตน (The Self ) ซึ่งมีราโดยละเอียดดังนี้    ฮอล์ และ ลินด์เซย์ ( 1970 : 386 – 396 )
1. อุปนิสัย (Traits) เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่แคทเทลถือว่า อุปนิสัย คือ “โครงสร้างของจิต” (Mental Structure) เป็นตัวกระทำให้พฤติกรรมของบุคคลคงที่ และแคทเทลมีแนวความคิดเหมือนออลพอร์ต (Allport) ว่า บุคคลแต่ละคนมีอุปนิสัยร่วมหรือสามัญลักษณะ ( Common Traits) ด้วยกันทั้งนั้น เช่น การมีประสบการณ์ทางสังคมอย่างเดียวกัน ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์หรือวิสามัญลักษณะ (Unique Traits) หมายถึง อุปนิสัยที่มีอยู่เฉพาะในบุคคลแต่ละคน ซึ่งคล้ายคลึง อุปนิสัยร่วม เป็นคุณลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่ในบุคคลทั่วไป เช่น ความสามารถ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม สติปัญญาและความเชื่อมั่นในตนเอง ส่วนอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์จะเป็นลักษณะที่ปรากฏขึ้นในส่วนของเจตคติและความสนใจเฉพาะของแต่ละบุคคล
อุปนิสัยมี 2 ชนิด คือ
1. อุปนิสัยพื้นผิว  ( Surface Traits ) เป็นอุปนิสัยที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน เป็นลักษณะ
นิสัยของบุคคลที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยอุปนิสัยต้นตอเป็นโครงสร้างที่แท้จริงซึ่งถือเป็นรากฐานของบุคลิกภาพและเป็นตัวที่กำหนดการแสดงออกของอุปนิสัยพื้นผิวหลายๆ แบบ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาเมื่อพบปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการบุคลิกภาพ  อาการเจ็บปวดทางกายหรือโรคทางกายที่มีสาเหตุเนื่องมาจากจิตใจและความเปลี่ยนแปลงในบูรณาการของบุคลิกภาพ (Dynamic Intergration) นอกจากนี้อุปนิสัยต้นตอยังเป็นผลของพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมผสมกัน ซึ่งอาจเรียกอุปนิสัยต้นตอว่าเป็นอุปนิสัยแม่บท (Constitutution Traits) ได้
2. อุปนิสัยต้นตอ ( Source Traits ) แบ่งออกเป็น 3 แบบตามการแสดงออกคือ อุปนิสัยแรงขับ (Dynamic Traits) ได้แก่ อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ และความสนใจของบุคคลเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายใดๆ ก็ตาม อุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ (Ability Traits) ได้แก่ อุปนิสัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย และอุปนิสัยทางลักษณะอารมณ์ (Temperament Traits) ได้แก่ อุปนิสัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถของบุคคลให้ทำงานไปสู่จุดมุ่งหมาย และอุปนิสัยทางอารมณ์ (Temperament Traits) ได้แก่ อุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทาง ด้านโครงสร้างเป็นความเร็วของพลัง เป็นต้น ในการแสดงออกของพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม อาจเกิดจากอุปนิสัยทั้ง 3 แบบร่วมกัน แต่ทั้งนี้อุปนิสัยแรงขับจะมีความสำคัญมากกว่าอุปนิสัยเกี่ยวกับความสามารถ และอุปนิสัยทางอารมณ์ เพราะอุปนิสัยแรงขับสามารถยืดหยุ่นและอาจเป็นตัวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนใหญ่ได้
2. หน่วยพลัง(Ergs) เป็นอุปนิสัยต้นตอหรือแรงขับดันที่มีมาแต่กำเนิดทั้งในกายและในจิตใจ ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งโดยจงใจหรือเอาใจใส่ต่อวัตถุใดวัตถุหนึ่งมากกว่าวัตถุประเภทอื่น และแสดงประสบการณ์เฉพาะของอารมณ์ต่อวัตถุประเภทนั้น ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมนั้น ๆ ของตนมากกว่ากิจกรรมประเภทอื่นๆ แคทเทล ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า หน่วยพลัง มีหน้าที่ 4 อย่าง คือ การตอบสนองการรับรู้ (Perceptual Response) การตอบสนองทางอารมณ์ (Emotional Response) การกระทำที่นำไปสู่จุดมุ่งหมาย (Instrumental Acts Leading to the Goal) และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ได้รับความพอใจ (The Goal Satisfaction Itself) ถ้ารวมหน่วยพลัง 4 หมวดเข้าด้วยกัน คำนิยามจะประกอบไปด้วย การคิด (Cognition) ความรู้สึก (Affection) และความมุ่งมั่น (Conation) ซึ่งเหมือนกับคำว่าสัญชาตญาณ (Instinct) ตามทฤษฎีของแมคดูกัล (McDougall’s Theory) และแคทเทล ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของหน่วยพลังกับกระบวนการทางชีววิทยาของมนุษย์พร้อมทั้งเสนอว่า หน่วยพลังที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิดมี 10 หน่วยพลัง คือ พลังเพศ (Sex) การยืนยันสิทธิของตน (Self Assertion) การหนี ความกลัว ความวิตกกังวล (Escape, Fear, Anxiety) การป้องกัน พฤติกรรมการปกป้องของพ่อแม่ (Protection Parental Behavior) การเข้าร่วมกลุ่ม (Gregariousness) ความต้องการผักผ่อน (Rest – Seeking) การสำรวจ (Exploration) การหลงรักตนเอง (Narcistic Sex) การขอร้อง (Appeal) การก่อสร้าง (Construction)
3. เมตะเอิร์ก(Metaergs) เป็นอุปนิสัยต้นตอที่เกี่ยวกับแรงขับ ซึ่งได้รับการขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อมและปรากฏในพัฒนาการ เมตะเอิร์กต่างจากหน่วยพลังคือหน่วยพลังมีมาแต่กำเนิดแต่เมตะเอิร์กเกิดขึ้นภายหลังและพัฒนามาจากแรงจูงใจ ได้แก่ เจตคติ (Attitude)   ความสนใจ (Interest) และ ความอ่อนไหวทางอารมณ์ (Sentiment)
ความอ่อนไหวทางอารมณ์มีความสำคัญที่สุดในเมตะเอิร์ก ความอ่อนไหวทางอารมณ์ก็คือ โครงสร้างของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับซึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อม   ทำให้บุคคลมีความเอาใจใส่ต่อวัตถุบางอย่าง ตลอดจนรู้สึกและสามารถตอบสนองได้ในสถานการณ์เฉพาะความอ่อนไหวทางอารมณ์จะมีความมั่นคงและถาวรกว่าเจตคติและความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ เจตคติ ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกัน และมีการทำงานเกื้อกูลกันสำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมต่าง ๆ ความสนใจ เพราะความอ่อนไหวทางอารมณ์ปรากฏอยู่ในช่วงพัฒนาการตอนต้นมากกว่าวัยอื่นๆ เจตคติ ความสนใจและความอ่อนไหวทางอารมณ์จะไม่แยกออกจากกันและมีการทำงานเกื้อกูลกัน สำหรับความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่สำคัญ ได้แก่ ความสนใจในอาชีพ ความสนใจในกีฬาและเกมต่างๆ ความสนใจในเรื่องศาสนา ความสนใจทางด้านเครื่องจักรกล ความรักชาติ โครงสร้างของหน่วยพลังย่อยและอารมณ์ความรู้สึกต่อตนเอง
4. สังกัปอุดหนุน (Subsidiation) ถ้าเราศึกษาอุปนิสัยที่สัมพันธ์กับจำนวนหนึ่ง เราจะพบว่ามีเป้าหมายสุดท้ายซึ่งบุคคลสามารถจะไปได้โดยการผ่านเป้าหมายย่อยๆ ไปเป็นลำดับ หรืออาจเรียกว่าเป้าหมายย่อยเหล่านั้นเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย อุปนิสัยที่ทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายแรก ได้แก่ อุปนิสัยทั้งหลายที่จะมาอุดหนุนอุปนิสัยที่ทำให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายหรือใกล้เคียงกับเป้าหมายสุดท้าย การแบ่งระหว่างหน่วยพลัง ความอ่อนไหวทางอารมณ์ เจตคติ และความสนใจนั้นถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือลูกโซ่ของการอุดหนุน (Subsidiation Chain)ทั้งหมดเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับ โดยความสนใจเป็นสิ่งที่อุดหนุนเจตคติ ( Subsidiary to Attitude) รวมทั้งเป็นสิ่งอุดหนุนความอ่อนไหวทางอารมณ์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อุดหนุนหน่วยพลัง (Subsidiary to Eggs) ด้วย และตามปกติแล้วปฏิกิริยาซึ่งกันและกันระหว่างอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับมีความซับซ้อนมากการตรวจสอบการกระทำใดๆ จะแสดงให้เห็นเป็นลูกโซ่ของการอุดหนุนที่เชื่อมโยงหน่วยพลังแต่ละอย่าง และความอ่อนไหวทางอารมณ์และเจตคติไว้
5. ตัวตน(The Self) เป็นส่วนหนึ่งของความอ่อนไหวทางอารมณ์ ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเจตคติเกือบทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นตัวตนนั่นเอง ตัวตนจะเกี่ยวข้องกับการแสดงออกของหน่วยพลังหรือความอ่อนไหวทางอารมณ์อื่นๆ ตัวตนมีบทบาทในการบูรณาการบุคลิกภาพและตัวตนนี้ยังเกี่ยวข้องกับหน่วยพลังที่เกี่ยวกับคุณธรรม (Superego) และตัวตนตามอุดมคติ (Ideal Self) ซึ่งทั้งสองนี้ได้มาจากอิทธิพลทางสังคม นอกจากนี้ตัวตนยังมีอิทธิพลควบคุมอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับให้ปฏิบัติงานร่วมกัน เรียกว่า ตัวตนทางโครงสร้าง (Structural Self) หรือตัวตนที่เกิดจากแรงขับ (Drive Self) หรือเกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์ของหน่วยพลัง (Ego Sentiment) การทำงานของอุปนิสัยที่เกี่ยวกับแรงขับอันใดก็ตาม จะแสดงตัวออกมานั้นจะต้องขึ้นอยู่กับว่าอุปนิสัยนั้นเหมาะสมกับตัวบุคคลหรือไม่ ถ้าอุปนิสัยนั้นๆ ไม่สามารถเข้ากับตัวตนได้ก็จะทำให้เกิดลักษณะอาการโรคจิต โรคประสาทในบุคคลได้
โครงสร้างของตัวตน
โครงสร้างของตัวตนแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ตัวตนตามอุดมคติ ( Idea Self ) กับตัวตนตามความเป็นจริง (Real Self) ทั้งสองอย่างนี้ขึ้นอยู่กับการสังเกตตน ด้วยตนเองตามความเป็นจริงคือ ตัวตนที่เขายอมรับว่าเขาเป็นในขณะที่เขาพิจารณาอย่างมีเหตุผล ส่วนตัวตนตามอุดมคติก็คือตัวตนอย่างที่เขาต้องการจะเป็น ในการเริ่มต้นพัฒนาการของตัวตนตามความเป็นจริงจะเป็นภาพสะท้อนที่ไม่สมบูรณ์ของตัวตนตามอุดมคติ และเมื่อระยะเวลาผ่านไปพัฒนาการของบุคคลเป็นไปตามปกติ การบูรณาการบุคลิกภาพต่างๆ อาจนำไปสู่การเป็นตัวตนซึ่งทั้งตัวตนตามอุดมคติ และตัวตนตามความเป็นจริงจะมีความอ่อนไหวทางอารมณ์ของตัวตน(Self Sentiment) เป็นตัวกำหนด
การพัฒนาบุคลิกภาพ (The Development of Personality)
การศึกษาพัฒนาการบุคลิกภาพของแคทเทล เราต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรมและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดบุคลิกภาพและ พัฒนาการบุคลิกภาพประกอบด้วยการปรับปรุงหน่วยพลังกับเมตะเอิร์กและการจัดระบบตัวตนทางโครงสร้าง ซึ่งการที่บุคคลจะมีพัฒนาการได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนาความสามารถในการทำหน้าที่ของ สติปัญญา  ความพร้อมในการแข็งขัน และ ความเข้มของความจำ (Strength of Memory)
การเรียนรู้ (Learning)
แคทเทล จำแนกการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภท และการเรียนรู้ทั้ง 3 ประเภท คือ
1.      การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Familiar Classical) มีความสำคัญต่อการตอบสนองทางจิตใจและเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อม
2.      การวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ (Instrumental Conditioning) เป็นการตอบสนองเพื่อการนำไปสู่เป้าหมายต่างๆ ให้เกิดความพึงพอใจ และการเรียนรู้ชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับตารางการเคลื่อนไหว (Dynamic Lattice) แคทเทล เรียกการเรียนรู้แบบนี้ว่า การเรียนรู้จากการมาพบกัน (Confluence Learning) พฤติกรรมหรือเจตคติที่แสดงออกมานั้นจะแสดงความพึงพอใจมากกว่าเป้าหมาย ดังนั้นเจตคติหนึ่งจึงเกี่ยวข้องกับความอ่อนไหวทางอารมณ์หลายอย่าง และความอ่อนไหวทางอารมณ์ก็จะเกี่ยวข้องกับหน่วยพลังหลายๆ หน่วย และอาจเห็นได้จากโครงสร้างของตารางการเคลื่อนไหว
3.      การเรียนรู้แบบบูรณาการ (integration Learning) การเรียนรู้แบบนี้บุคคลจะสร้างความพึงพอใจในระยะยาว และแสดงออกโดยหน่วยพลังทั้งหลาย
กฎการเรียนรู้ของแคทเทล มี 2 ข้อคือ
            ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 1 (The First Dynamic Crossroad ) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลพยายามขั้นแรกที่จะสนองความพึงพอใจของหน่วยพลังอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดผลตามมา 4 ประการคือ
1.      บุคคลได้รับการตอบสนองความปรารถนา ซึ่งเกิดจากผลของพฤติกรรมที่มีรูปแบบติดตัวมาแต่กำเนิด
2.      บุคคลไม่สามารถสมปรารถนาได้ เพราะไม่สามารถใช้การตอบสนองทางด้านการเคลื่อนไหวและการรับรู้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อพบสภาพสิ่งแวดล้อมที่จำกัด
3.      รูปแบบของพลังอาจจะได้รับการปรับปรุงหรือถูกแทนที่โดยหน่วยพลังอื่นที่เข้ามาสนับสนุนหน่วยพลังอันแรก
4.      บุคคลไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้ทั้งนี้เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง ถึงแม้ว่าทางไปสู่เป้าหมายนั้นจะเหมาะสมกับบุคคลนั้น และสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนก็ตาม
แคทเทลถือว่าปฏิกิริยาของข้อสองเป็นการตอบสนองที่กระจัดกระจาย   (Response Dispersion) ในกรณีนี้บุคคลไม่ทราบว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้หรือพฤติกรรมอย่างไรจึงจะสามารถลดความเครียดซึ่งเกิดจากหน่วยพลังนั้น ด้วยเหตุนี้บุคคลไม่อาจทราบว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เปลี่ยนแปลงไปได้หลายรูปแบบและไม่อาจจะแยกแยะความแตกต่าง ในทางตรงกันข้ามบุคคลที่ประสบอุปสรรคในข้อสี่จะรู้สึกโกรธและหาแนวทางตอบสนองด้วยความก้าวร้าว แคทเทลเชื่อว่า จากทางเลือกหรือการต่อสู้ทั้งสี่ข้อนี้สามารถแสดงให้เห็นความสำคัญของ   การมาพบกัน (Confluence) หรือพัฒนาการของการตอบสนองความอ่อนไหวทางอารมณ์ที่ช่วยให้บุคคลได้รับความพึงพอใจในหน่วยพลังตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป พร้อมกับการตอบสนองที่กระจัดกระจายและมีความสัมพันธ์กับกฎของแรงขับซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการการสร้างรูปแบบพฤติกรรมใหม่
ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 2 (The Second Crossroad) จากทางเลือกข้อสี่ เมื่อการตอบสนองของหน่วยพลังพบอุปสรรค บุคคลจะมีแนวทางเลือกหลาย ๆ แนว เช่น เพิ่มกิจกรรมบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจ ระบายอารมณ์โกรธเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ใช้ความโกรธในรูปการทำร้ายตนเองจนเป็นคนที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ
ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 3 (The Third Dynamic Crossroad) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแบบการตอบสนองต่ออุปสรรคด้วยความโกรธแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้บุคคลเลือกที่จะทำการตอบสนองใน 4 ลักษณะด้วยกันคือ  หมดหวังหรือยกเลิก กลัวหรือหนี แสดงความก้าวร้าวและใช้วิธีการจินตนาการถ้าบุคคลเลือกตอบสนองจากข้อสองและข้อสามในไม่ช้าบุคคลจะถอยหนีจากสถานการณ์นั้น หรืออาจมีพลังความสามารถเอาชนะอุปสรรคจนประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายหรืออาจยกเลิกความพยายามโดยการปฏิเสธสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความต้องการนั้นๆ เสีย
ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 4 (The Fourth Dynamic Crossroad) เป็นการล้มเลิกหน่วยพลัง โดยที่บุคคลเปลี่ยนแปลงการปรับตัวจากลักษณะภายนอกเข้าสู่การปรับตัวภายในโดยการปฏิเสธหรือล้มเลิกพลังความต้องการ ความวิตกกังวลมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในการที่จะต้องละทิ้งแนวโน้มของหน่วยพลังนั้นๆ บุคคลมีทางเลือก 4 อย่างด้วยกัน คือ
1.      เก็บกดพลังไว้ คือ การปฏิเสธด้วยความสมัครใจ และต่อต้านที่จะแสดงปฏิกิริยาที่เป็น
ไปตามความต้องการ
2.      พยายามเก็บกดแต่เป็นขบวนการที่บุคคลไม่พอใจ ในกรณีนี้บุคคลจะต่อต้านและขับ
ไล่สิ่งที่ไม่ต้องการออกไปจากจิตสำนึก
3.      เปลี่ยนความต้องการโดยการสร้างกลวิธานป้องกันตัวชนิดทดเทิด (Sublimate) โดย
หาจุดมุ่งหมายที่สังคมยอมรับมาทดแทนอย่างรู้ตัว และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร
4.      บุคคลอาจจะกลับไปใช้พฤติกรรมที่ไม่ได้ปรับปรุงซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือมิฉะนั้นก็พาลเกเร
หรือหาจุดมุ่งหมายอื่นๆ ที่มีลักษณะต่อต้านสังคม
ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 5 (The Fifth Crossroad) ในการเก็บกดความต้องการทำให้บุคคลเกิดการตอบสนอง 4 ลักษณะคือ
1.      เพ้อฝันอย่างไม่รู้ตัวและบางครั้งก็รู้ตัว
2.      เก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก
3.      เก็บกดอย่างมั่นคงซึ่งหน่วยพลังจะแสดงออกมาทางอ้อมและมีผลต่อพฤติกรรมของ
บุคคลในระยะต่อมา
4.      บุคคลอาจใช้การทดเกิดอย่างไม่รู้ตัว
ทางเลือกที่แปรเปลี่ยน ข้อ 6 (The Sixth Crossroad) เป็นลักษณะการเก็บกดที่ไม่มั่นคงและไม่ได้ผลเต็มที่ บุคคลจึงเพิ่มกลวิธานป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งใน 10 อย่าง ซึ่งเป็นแนวเดียวกับจิตวิเคราะห์ กลวิธานป้องกันตัว 10 อย่าง มีดังนี้ คือ การจินตนาการ (Fantasy) การทำปฏิกิริยาตรงกันข้าม (Reaction Formation) การโยนความผิดให้ผู้อื่น (Projection) การหาเหตุผลมาอ้าง (Rationalization) การเก็บกด (Repression) การเก็บกดมากยิ่งขึ้น (Further Repression) การควบคุมหน่วยพลังย่อย (Restriction of Ego) การถดถอย (Regression) การย้ายแหล่งทดแทน (Displacement) การย้ายแหล่งทดแทนโดยการสร้างอาการของโรคต่างๆ (Displacement with Symption Formation) แคทเทลถือว่า กลวิธานในการป้องกันตนเองป้องกัน 3 ประการหลัง Id เป็นตัวหนุนกำลังที่สำคัญ
บุคลิกภาพในสังคมระดับกลุ่ม (The Social Context) แคทเทลได้พยายามเน้นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมและสังคมที่มีต่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพของบุคคลไว้ว่า สถาบันทางสังคม ที่กล่อมเกลาหรือมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพมีหลายสถาบันแต่ที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัว และทีสำคัญรองลงมาคือสถาบันการศึกษา สถาบันอาชีพ กลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิก ศาสนา พรรคการเมืองและประเทศชาติ สถาบันเหล่านี้อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพของบุคคลได้ดังนี้
1.      สถาบันที่จงใจจะทำให้เกิดบุคลิกภาพชนิดใดชนิดหนึ่งหมายถึง ลักษณะบุคลิกภาพที่
สังคมนั้นต้องการ อาจรวมอุปนิสัยและบุคลิกภาพเฉพาะ โดยทีสถาบันนั้นจงใจผลิตลักษณะที่ต้องการขึ้น
2.      องค์ประกอบทางด้านนิเวศวิทยาหรือสถานการณ์ อาจส่งผลให้เกิดบุคลิกภาพซึ่ง
สถาบันในสังคมไม่ได้จงใจ
3.      เมื่อเกิดรูปแบบของพฤติกรรมอันเป็นผลของขบวนการข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อข้างต้น
 แต่ละบุคคลอาจพบว่าจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบุคลิกภาพของเขาเพื่อการพัฒนาตนต่อไป
ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการบุคลิกภาพให้ดีพอ จึงมีความจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงความสำคัญของสถาบันทางสังคมต่างๆ ที่ส่งผลถึงบุคลิกภาพตั้งแต่สถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันระดับประเทศชาติด้วย
องค์ประกอบบุคลิกภาพ
            บุคลิกภาพของ Cattell เป็นลักษณะรวมทั้งหมดของบุคคลซึ่งประกอบไปด้วยร่างกายและจิตใจ แสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้งจากภายในและภายนอก โดยมีการบูรณาการจากลักษณะต่างๆ ของพฤติกรรมครอบคลุมไปถึงสภาพทางด้านอารมณ์ ความสามารถ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม และสติปัญญาของบุคคล บุคลิกภาพตามทฤษฎีนี้ ประกอบไปด้วยบุคลิกภาพที่มีองค์ประกอบ 16 ด้าน โดยเรียกว่า The Sixteen Personality ได้แก่   ฮอล์ และ ลินด์เซย์ (1970 : 390)
1.      องค์ประกอบ A ชอบออกสังคม – สำรวม
2.      องค์ประกอบ B สติปัญญา
3.      องค์ประกอบ C อารมณ์มั่นคง – อารมณ์อ่อนไหว
4.      องค์ประกอบ E เป็นอิสระแก่ตน –ถ่อมตน
5.      องค์ประกอบ F ทำตนตามสบาย – ถี่ถ้วนระมัดระวัง
6.      องค์ประกอบ G ซื่อตรงต่อหน้าที่ – ไม่ทำตามกฎ
7.      องค์ประกอบ H กล้าสังคม – ขี้อาย
8.      องค์ประกอบ I จิตใจอ่อนแอ – จิตใจมั่นคง
9.      องค์ประกอบ L ระแวง – ไว้วางใจ
10. องค์ประกอบ M เพ้อฝัน – ทำตามความจริง
11. องค์ประกอบ N มีเหลี่ยม – ตรงไปตรงมา
12. องค์ประกอบ O หวาดกลัว – ประสาทมั่นคง
13. องค์ประกอบ Q1 นักทดลอง – นักอนุรักษ์
14. องค์ประกอบ Q2 อาศัยตนเอง – อาศัยกลุ่ม
15. องค์ประกอบ Q3 ควบคุมตนเองได้ – ขาดวินัยในตนเอง
16. องค์ประกอบ Q4 เคร่งเครียด – ผ่อนคลาย
ที่มา:http://www.novabizz.com/NovaAce/Personality/Theory_Cattell.htm
หมายเลขบันทึก: 208736เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2008 06:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 13:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

บุคลิกภาพ  เป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์

ขอบคุณมากมาย   แวะมาทักทาย

ไปทำงาน ก่อนค่ะ

มีความสุขในทุกๆวันเสมอๆ  นะคะ

      ดอกบัว    ที่บ้านค่ะ

ครับผม ผมก็จะออกเดินทางแล้วแต่คงจะไปเพิ่มบล็อกต่อที่โรงเรียนอีกหน่อยนึง อิอิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท