วันนี้บังเอิญได้หยิบวารสารฉบับหนึ่งที่ได้มาจากการจัดนิทรรศการแสดงผลงานเมืองกำแพงเพชร ( วารสารวิทย์นิทรรศ ปี 48) กล่าวไว้น่าสนใจจึงนำมาฝากให้ช่วยวิเคราะห์....เรื่องการกินกระทิจากมะพร้าว.....
*มะพร้าวเป็นต้นไม้ให้ชีวิตแก่ชนชาติในภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิก ...เราใช้มะพร้าวดำรงชีพมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะในการใช้ประกอบอาหาร โดยไม่มีปัญหาในเรื่อง โรคหัวใจ โรคมะเร็งโรคของต่อมธัยรอยด์ โรคอ้วนและอีกสารพัดโรคแต่อย่างใด แต่ครั้นประเทศเหล่านี้รับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชอื่นๆในการประกอบอาหารแทนน้ำมันมะพร้าวเพราะได้รับประชาสัมพันธ์ว่า น้ำมันถั่วเหลืองมีคุณค่าทางอาหารเป็นเยี่ยม ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว( unsaturated fatty acids ) ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือการปรักปรำน้ำมันมะพร้าว (รวมทั้งน้ำมันปาล์มด้วย ) ว่าเป็นตัวการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ..
ตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของการปรักปรำน้ำมันมะพร้าว
เนื่องจากถั่วเหลืองเป็นพืชเงินพืชทองของสหรัฐอเมริกา ได้ผลผลิตปีละประมาณ 80 ล้านตัน และทำรายได้ให้แก่ประเทศจากการส่งออกปีละหลายพันล้านดอลล่าร์ จึงมีการรณรงค์ให้มีการใช้ประโยชน์ของถั่วเหลืองอย่างจริงจังทั่วโลก ตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์นี้คือ สมาคมน้ำมันพืชอเมริกัน( American Soybean Association-ASA ) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลมาก โดยการร่วมมือของโครงการถั่วเหลืองนานาชาติ(INTSOY) ซึ่งสังกัดอยู่กับมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา
ดังที่ได้กล่าวแล้วในตอนต้น ว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหารมาช้านานจึงเป็นการยากที่จะส่งเสริมให้ประชากรในประเทศเหล่านี้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันถั่วเหลือง สิ่งแรกที่รัฐบาลอเมริกาทำก็คือการจัดตั้ง INTSOY เพื่อสนับสนุนงานวิจัยที่นำไปสู่การใช้ประโยชน์ของถั่วเหลือง ซึ่งต้องนำเข้าจากสหรัฐ เพราะประเทศเหล่านี้ปลูกถั่วเหลืองไม่ได้ หรือไม่ได้ผลผลิตเท่าเทียมกับของสหรัฐ แต่สิ่งที่นับว่าได้ผลดีเยี่ยมคือการที่ ASA ว่าจ้างให้สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา ให้วิจัยให้ได้ผลออกมาว่า น้ำมันมะพร้าว(และน้ำมันปาล์ม) เป็นสาเหตุของโรคหัวใจวาย เพราะมันประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัว ที่ทำให้คอเลสเตอรอลไปอุดตันในเส้นเลือด หลังจากที่มีการตีพิมพ์รายงานนี้ออกไป ประกอบกับการกระพือข่าวโดย ASA และINSOY ออกไปทั่วโลก รวมทั้งเขียนตำราในทางการแพทย์และโภชนาการให้นิสิต นักศึกษาได้ร่ำเรียน ผลก็คือ ประชากรในประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ลดหรือเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าวเลย และยิ่งกว่านั้นแพทย์โรคหัวใจและนักโภชนาการชาวพื้นเมือง( รวมทั้งชาวไทย) ที่ได้รับข้อมูลอันนี้ต่างก็ช่วยกันปรักปรำน้ำมันมะพร้าว ถึงขนาดเขียนเป็นตำรา และเอกสารเผยแพร่ไม่ให้บริโภคน้ำมันมะพร้าวเลย....
กลยุทธของAsA มีผลกระทบที่รุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพราะมะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเหล่านี้ยกตัวอย่างเช่นประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยผลิตมะพร้าวแห้งและน้ำมันมะพร้าวส่งออกเป็นปริมาณถึง 95 % ของโลก ถึงกับเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย ศรีลังกา และประเทศเล็กๆ ที่เป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ต่างก็ได้รับผลกระทบทางเศรฐกิจอย่างรุนแรง โชคดีที่ประเทศไทย ไม่ได้พึ่งพามะพร้าวมากเหมือนดังประเทศเหล่านั้น แต่ผลกระทบก็รุนแรงพอสมควร โดยเฉพาะในจังหวัดที่ปลูกมะพร้าวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งโรงงานสกัดน้ำมันมะพร้าวหลายสิบโรงต้องปิดกิจการ ลง..
ข้อดีของน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่ประเทศต่างๆในเอเชีย และแปซิฟิกใช้เป็นแหล่งของพลังงานและการทำอาหารมาช้านาน โดยไม่ปรากฏอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากการรายงานประเทศศรีลังกาเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมะพร้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีอัตราการเสียชีวิต จากโรคหลอดเลือดอุดตันเพียง 1 ใน แสน เปรียบเทียบกับ 18 -187 ในแสน ในประเทศที่ไม่ใช้น้ำมันมะพร้าว จากการศึกษาในชนชาติโพลินีเซียสองกลุ่ม พบว่ากลุ่มที่บริโภคน้ำมันมะพร้าว 89% ของไขมันทั้งหมด มีความดันโลหิตต่ำกว่ากลุ่มที่บริโภคเพียง 7% นอกจากนั้นตัวเลขที่แสดงการเสียชีวิต จากโรคหัวใจและมะเร็งของประเทศที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวก็ต่ำกว่าประเทศที่ไม่บริโภค ยกตัวอย่างเช่น ประเทศวานูอาตู ซึ่งบริโภคน้ำมันมะพร้าวมากที่สุด ( มากกว่า 1 ผล/คน/วัน ) มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวต่ำมาก ......
บทสรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็พอจะเชื่อได้ว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ได้เลวร้ายดังที่ถูกกล่าวหาโดยเฉพาะหากนำเอาความจริงที่ว่าคนทั่วไปบริโภคอาหารอื่นๆ ซึ่งมีกรดไขมันที่จำเป็ยต่อร่างกาย ที่จะช่วยชดเชยในส่วนที่น้ำมันมะพร้าวขาดไป จึงสรุปได้ว่า แทนที่จะห้ามบริโภคน้ำมันมะพร้าว เราควรส่งเสริมให้ประชากรของเรา กลับมากลับมาบริโภคน้ำมันมะพร้าวดังเดิม จะได้ช่วยสนับสนุนพืชเศรษฐกิจของเรา ให้มากยิ่งขึ้น
ดีกว่าจะถูกหลอก.....นะจะบอกให้........
จาก...วารสารวิทย์นิทรรศ ฉบับที่ 5 ...ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย.....
คุณครูคะ
ขอถามนอกเรื่องหน่อยนะคะ
คุณครูพอจะมีเทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบคละชั้น ในโรงเรียนขนาดเล็กจะแนะนำหนูบ้างไหมคะ
ขอบคุณค่ะ
**ต้องขออภัยที่เว้นช่วงเวลาไปหลายวัน...ต้องไปเป็นวิทยากรลูกเสือชาวบ้านของอำเภอฯ ซะ 5 วัน สนุกและมีความสุขมากๆๆๆๆ
--สำหรับ คุณมณลดาที่ถามเทคนิคการสอนแบบคละชั้น นั้นก็คงจะตอบสั้นๆว่า ..ต้องสอนแบบบูรณาการ.. ช่วงชั้นป.1-3หรือ ป.4-6
1.บูรณาการแบบหน่วยหรือหัวข้อเรื่อง แล้วนำ8สาระมาบูรณาการเช่น
2.บูรณาการแบบสาระ ใดสาระหนึ่งแล้วนำสาระอื่นมาสัมพันธ์กันให้ได้ในเวลาที่กำหนด
เช่น หน่วย ประเพณีลอยกระทง จำนวน 5-10 ชั่งโมง
เราก็จัดกิจกรรมเนื้อหา 8 สาระลงไป
นี่เป็นแค่เรื่องเดียวง่ายๆที่คุณครูจะลองไปสอนดูปรับเปลี่ยนกิจกรรมได้ตามประเพณีของหมู่บ้านที่โรงเรียนเรามี ทำแผนบุรณาการเป็นหน่วยๆไป
อเมริกา 1. ผลิตอาวุธ แล้วก็ยุประเทศอื่นก่อสงครามกันเอง เพื่อจะขายอาวุธ ไม่ก็บุกเองซะ 2. ประเทศอื่นมีน้ำมัน แรกๆ ก็บอกว่าเป็นเพื่อน ต่อมายึดเค้าซะ อ้างว่ากำลังผลิตอาวุธนิวเคลีย์ร้ายแรง 3. พฤติกรรมเยาวชนไทย เคารพผู้ใหญ่ ไม่ก้าวร้าว มันก็ผลิตเกมส์ให้เด็กก้าวร้าวโตมาจะได้ก่อสงคราม 4. ผลผลิตเกษตร ก็ไม่ทิ้งนิสัยแย่ๆ ทำร้ายประเทศที่ด้อยกว่าอีก ฯลฯ มีอีกเยอะ นี่หรือประเทศเจริญ เฮ้อ...