ในโลกแห่งการแข่งขัน เพียงเราย่ำเท้าอยู่กับที่ก็เท่ากับเรากำลังก้าวถอยหลัง ตามคนอื่นเค้าไม่ทันค่ะ
Ulrich (2005, p. viii) ได้เสนอแนวคิดการจัดการสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลผลิต กระบวนการหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขันและเพื่อความอยู่รอดขององค์กร สอดคล้องกับแนวคิดของ อานันท์ ปันยารชุน (2543) ที่กล่าวว่า ในปัจจุบันองค์กรภาครัฐไม่ว่าจะเป็นภาคราชการ รัฐวิสาหกิจหรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศอย่างหน่วยงานทหารจะมีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วิถีการทำงานที่มีทิศทางและชัดเจนมากขึ้น เพื่อพยายามจะแสดงถึงความมีประสิทธิภาพขององค์กรและสร้างความสามารถในการแข่งขันในสังคมโลก โดยมีการปรับโครงสร้างให้เอื้อต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปฏิรูประบบการทำงานของภาครัฐ กฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกรรมและการพัฒนาองค์กร
บางท่านคิดว่าทำไมเราไม่พอเพียง เราจะแข่งขันไปทำไม เราแข่งขันไปเพื่ออะไร แข่งขันกับโลกาภิวัตน์เพื่ออะไร ในความคิดเห็นของดิฉันการแข่งขันเพื่อการอยู่รอด ณ วันนี้ เป็นการแข่งขันกับตัวเอง โลกที่ไร้พรมแดนวันนี้ เป็นโลกที่ข้อมูลข่าวสารไวมาก โปร่งใสมากขึ้น (มองในมุมบวกนะคะ) คนต้องมีคุณภาพค่ะองค์กรจึงอยู่รอด
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงชัดเจนมากว่า..ต้องรู้จักพอประมาณ มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน นั่นหมายความว่าในการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กรให้อยู่รอดนั้นเราต้องมอง resource ของเราที่มีอยู่และใช้อย่างคุ้มค่า โดยนำ resource ที่มีอยู่มาเพิ่มคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นคน ของหรือเเม้แต่งบประมาณ และต้องมีเหตุมีผลในการใช้หรือพูดง่าย ๆ ต้องมีสตินั่นเอง (สติมาปัญญาเกิดค่ะ) ในขณะเดียวกันต้องมีการบริหารความเสี่ยง(ต้องรู้ว่าอะไรคือความเสี่ยง ต้องรู้จักแก้และป้องกันความเสี่ยงได้) รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะส่งผลอะไรในภายภาคหน้าบ้างโดยเฉพาะผลลบที่จะตามมาในอนาคต ไม่ใช่ว่าแก้วันนี้ส่งผลดีแต่ภายภาคหน้าก่อให้เกิดปัญหาให้กับลูกหลาน นั่นคือการพัฒนาต้องเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable)
ที่สำคัญอย่าลืมสิ่งที่ในหลวงเน้นคือการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวันนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้คู่คุณธรรม นั่นหมายความว่าท่านให้เราพัฒนาตนให้รู้ทันกับการเปลี่ยนแปลงหรือกับโลกาภิวัตน์ รู้ที่จะพอประมาณ รู้ที่จะมีเหตุมีผลและรู้ที่จะบริหารความเสี่ยงค่ะ จริงอยู่ชาวไร่ชาวนาอาจจะไม่รู้จักโลกาภิวัตน์แต่เขาต้องรู้ที่จะอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างเท่าทันไม่ถูกคนเอาเปรียบ เพราะไม่งั้นก็จะเห็นว่า เราบอกให้เค้าพอเพียง เเต่เค้าอยากมีมือถือใช้ (โลกาภิวัตน์ที่เขาไม่รู้จักนั่นไงคะ) แล้วก็ถูกเอาเปรียบใน Promotion ที่เขาไม่เคยรับรู้เลย อย่างที่เราได้ยินกันทุกวันนี้ เพราะนั่นเขาไปเจอคนที่มีความรู้แต่ขาดคุณธรรมมาเอาเปรียบ มาวันนี้ในหลวงสอนเราให้พอเพียง โดยต้องมีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเราหยุดนิ่งไม่สนใจโลกภายนอกไม่ได้ แต่เราต้องรู้และก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นเกิดบนพื้นฐานรู้และมีคุณธรรม เราจึงจะอยู่รอดโดยไม่ถูกเอาเปรียบไงคะ (หรือว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนที่ขาดคุณธรรมหรือเปล่านี่) และที่แน่นอนคือไม่เอาเปรียบผู้อื่นค่ะ
พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน บนฐานความรู้คู่คุณธรรม จึงเป็นการเพิ่มคุณค่า (add value) ตัวเราค่ะ และถ้าองค์กรใดนำ แนวคิดนี้ไปใช้ก็นจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กร องคกรจะอยู่รอดอย่างสมศักดิ์ศรีและมีคุณค่าค่ะ
นี่คือคำตอบที่ว่าในโลกแห่งการแข่งขัน เพียงเราย่ำเท้าอยู่กับที่ก็เท่ากับก้าวถอยหลังคือก้าวไม่ทันผู้อื่นค่ะ
...........
คนึงนิจ อนุโรจน์