ฐานของงานวิจัยของ sensei ที่นี่ คือความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตัวอย่าง แล้วสะสมไว้
ในช่วงที่อาทิตย์ที่ผ่านมา
พอดีได้มีโอกาสเปิดรายงานประจำปี (annual report) ย้อนกลับไป 4 ปี
ดูไปดูมาผมว่ามีอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันนะครับ
ถ้าดูจากจำนวนบทความตีพิมพ์ของ sensei
แล้วน่าจะมีเป็นร้อยเรื่อง (เท่าที่เคยคุยกันมา)
แต่เนื้อหาของเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยหนีกันไปเท่าไหร่
เหมือนที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า
คนเราเดินไปทางไหนก็ย่อมทิ้งรอยเท้าไว้
ฐานของงานวิจัยของ sensei ที่นี่
คือความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตัวอย่าง แล้วสะสมไว้
การที่ sensei ทำงานด้านประชากรศาสตร์ sensei จึงมีตัวอย่าง DNA
ของชาวอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ดูไปแล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 20
เชื้อชาติอยู่ในมือ ซึ่งตัวอย่างตรวจเหล่านี้ ทำให้ sensei
สามารถทำงานวิจัยต่อเนื่องได้ โดยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ
แล้วก็เอามาทำกับในตัวอย่างตรวจเหล่านี้ เปรียบเทียบกันไปมา
ก็มีงานได้ไม่จบไม่สิ้น
โดยงานพวกนี้ก็มอบหมายให้นักศึกษาตั้งแต่ป.ตรีไปจนถึง ป.เอก ทำไป
ส่วนตัว sensei ก็มองหางานใหม่ที่น่าสนใจแล้วเก็บตัวอย่างตรวจใหม่
สะสมไว้วนเป็นวัฎจักร
ดังนั้นการสร้างอาณาจักรด้านงานวิจัยต่อไปในอนาคต
ก็คือความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตัวอย่างตรวจ
ซึ่งเรื่องนี้ภาควิชาพยาธิวิทยาของเราค่อนข้างได้เปรียบ
เนื่องจากเป็นแหล่งตัวอย่างอยู่แล้ว ขั้นต่อไปคือการกำหนด criteria
ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง หากเราสะสมตัวอย่างตรวจเป็นกลุ่มๆ
ที่เหมาะสมแล้ว การทำงานวิจัยต่อเนื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแค่หาเรื่องที่สนใจแล้วมาทำในกลุ่มตัวอย่างเดิมที่มีอยู่
ตัวอย่างตรวจที่ผ่านมือของเราทุกวัน
อยู่ที่ใครจะมองเห็นคุณค่าของมันก่อนกัน
แล้วอย่าลืมนะว่างานวิจัยทุกชิ้นต้องผ่าน Ethic committee
ก่อนนะจ๊ะ