คลังเตรียมหารือ ธปท. สงสัย
"ค่าเงินแข็งเกินจริง" "
ปรีดิยาธร" รับวันที่ 20 มีนาคม
แทรกแซงค่าเงิน ส่วนวานนี้อ่อนจากดอลลาร์แข็ง
"ทนง" ชี้ค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจไทยควรอยู่ 39.50-40.50
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันกลับแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
เตรียมหารือแบงก์ชาติถึงสาเหตุที่แท้จริง
สงสัยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าท่ามกลางปัญหาความไม่สงบทางการเมือง
"ปรีดิยาธร" รับเข้าดูแลค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 20 มีนาคม
ที่ผ่านมา แต่สำหรับค่าเงินบาทวานนี้
ปล่อยเป็นตามปัจจัยพื้นฐาน
ดร.ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า
จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ถึงสถานการณ์เงินทุนไหลเข้าออก
ซึ่งตนเห็นว่า ขณะนี้เงินทุนยังคงไหลเข้ามาในประเทศ
แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น
ขณะที่เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ชิน
คอร์ปอเรชั่น ก็ได้เข้ามาหมดแล้ว ในช่วงก่อนหน้านี้
และได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่แข็งค่าต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตนเห็นว่า
ระดับค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจไทยควรอยู่ที่
39.50-40.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ระดับเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่แท้จริงในปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ
38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
"ตามหลักการแล้วเงินบาทควรอ่อนค่าลง แต่ปัจจุบันบาทกลับแข็งค่าขึ้น
จึงจะหารือกับแบงก์ชาติในข้อเท็จจริงว่า เพราะอะไร
เบื้องต้น
มีข้อสังเกตว่า
น่าจะเกิดจากเงินลงทุนของต่างชาติที่ไหลเข้ามาก่อนหน้านี้
จะยังไม่ไหลออกไป ขณะเดียวกัน
ก็ยังมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง
ก็จะหารือให้ชัดเจนในเรื่องนี้"
มีรายงานข่าวระบุว่าค่าเงินบาทเย็นวานนี้อ่อนลง 0.5%ปรับจาก 38.63
บาทต่อดอลลาร์ เป็น 38.83 บาทต่อดอลลาร์
ซึ่งตลาดค่าเงินในเอเชียเชื่อว่า ธปท.เข้าแทรกแซง
ตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้
นอกจากนั้นเงินบาทยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบเยนหลังจากที่
นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด กล่าวว่า
เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะขยายตัวต่อไปในอัตราที่รวดเร็วแม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงก็ตาม
ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า
ได้เข้าไปดูแลค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา
โดยเป็นการเข้าดูแลเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ส่วนค่าเงินบาทวานนี้ (21 มี.ค.)
มีการขึ้นลงตามพื้นฐานปกติไม่ได้มีการเข้าไปดูแลเป็นการแข็งค่าตามธรรมชาติ
ด้าน ดร.อัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท.
กล่าวว่าค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 20 มีนาคม
นั้นแข็งค่าขึ้นเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ที่ได้รับผลมาจากเศรษฐกิจของสหรัฐ ออกมาไม่ดีมากนัก
ทำให้ตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟด
จะหยุดปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้
แต่หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ
ออกมาส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยต่อก็ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในเช้าวานนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงด้วย
ส่วนการไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ยังคงมีเข้ามาในประเทศไทย
อย่างต่อเนื่องนั้น ดร.อัจนา กล่าวว่า
ขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยใดที่จะทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ โดยนักลงทุน
ในตลาดหลักทรัพย์นั้นอาจจะรอความมั่นใจก่อนที่จะลงทุนแต่สำหรับผู้ลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนโดยตรง
(เอฟดีไอ) นั้น ไม่น่าจะมีปัจจัยที่ทำให้ชะลอการลงทุนลง
ดร.ทนง กล่าวว่า เขาประเมินถึงสภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินด้วยว่า
น่าจะอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง
สังเกตจากการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนหลังจากที่สถาบันการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย
ก็ได้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน
ยังมีการเปลี่ยนแปลงช่องทางการลงทุน เช่น หันไปลงทุนในกองทุนรวม
ลงทุนในหลักทรัพย์ เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า
นักลงทุนรู้จักช่องทางการลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้
ยังประเมินว่า การชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในระยะ 1-2
เดือนข้างหน้า
จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น
"การที่ดอกเบี้ยสหรัฐไม่ปรับขึ้นในระยะ 1-2 เดือนนี้
อาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐปรับค่าอ่อนลง
และทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเกิดการเคลื่อนไหว
หนึ่งในประเทศที่น่าจะมีการไหลเข้าของเงินลงทุน คือ ประเทศไทย" ดร.ทนง
กล่าวและว่า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ได้ประเมินว่า
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ไม่น่าจะปรับขึ้นถึง 8% ในปีนี้
จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอยู่ในระดับประมาณ 7% ต่อปี
เนื่องจากสภาพคล่องที่ทรงตัวในระดับสูงหรือประมาณ 7-8
แสนล้านบาท "อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงที่ใกล้มีเสถียรภาพ
ข้อสังเกต คือ อัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐที่จะไม่ปรับขึ้นมากนัก
และทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับขึ้นตามไปด้วย ทำให้คิดว่า
ทั้งปีดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ไม่น่าจะเกิน 8%" ดร.ทนง กล่าว
และประเมินถึงอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ว่า
ไม่น่าจะขยายตัวเกินกว่าระดับ 4% โดยธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์จะดูแลอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เกินระดับดังกล่าว
นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์
กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ ว่า ค่าเงินบาท
เปิดตลาดที่ระดับ 38.75-38.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยเป็นไปตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินภูมิภาค
หลังจากที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
ปรับตัวอ่อนค่าลง
โดยผลจากปัญหาทางการเมืองนั้นไม่ทำให้ค่าเงินบาทในวันนี้เคลื่อนไหวมากนัก
ในช่วงเย็นค่าเงินบาท ปิดตลาดที่ 38.82-38.85
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม
ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นเป็นผลจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้ามาดูแลเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนจนเกินไป
ไม่ได้เป็นการเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางของค่าเงิน
โดยคาดว่าค่าเงินบาทในระยะนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ 38.65-39.00
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก
กรุงเทพธุรกิจ 22 มีนาคม 2549