ผลการศึกษาข้อมูลรายบุคคลในฐานข้อมูลหมวดความรู้จากการปฏิบัติ
“Story Telling สัปดาห์ที่ 3”
จากที่ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ในครั้งนี้ และที่ผ่านมาใน 2 สัปดาห์ มีความสุข(ทุกข์..เครียดนิด ๆ)กับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมาย กำไรอย่างที่สุดแล้ว ได้กับได้ ส่วนจะได้อะไรมากน้อยเพียงใดอยู่ที่ตัวเอง ตนเองมีความคิดอยู่ก่อนแล้วเกี่ยวกับการทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ(การนิเทศ)ว่า ในเมื่อเรา(ศึกษานิเทศก์)มีหน้าที่ในการให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ สนันสนุน และส่งเสริมให้สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ นั่นก็หมายถึงการพัฒนาครูให้มีคุณภาพนั่นเอง อ้าว ! หากเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เราจะพัฒนาคนอื่น...สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ต้องพัฒนาตนเอง... เพราะเชื่อว่าตัวเรา(คน)เมื่อได้รับการพัฒนาแล้วย่อมก่อเกิดการความมั่นใจในตนเอง มีความรู้และทักษะในเรื่องต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น สร้างความศรัทธาจนเกิดการยอมรับของคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา.... หัวหน้ากลุ่ม/หัวหน้างาน... เพื่อนร่วมงาน...หรือผู้รับการนิเทศ(ครู/ผู้บริหาร) .... แน่นอนที่สุดมันจะส่งผลให้การทำงานราบรื่น มีความก้าวหน้า รุงเรือง โชติช่วงชัชวาล
กลุ่มนิเทศฯ สพท.ลำพูน เขต 1 ได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพ ศน.ฯ (จัดทุกปี) โดยจัดประชุม/อบรม/ดูงาน ในปี 2549 หากจำไม่ผิดนะ ...จำได้ดีอยู่ว่า เค้าพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องสมรรถนะ...competency ... โดยเชิญวิทยากรที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาให้ความรู้....(น่าจะมาจากสถาบันนะ เดี๋ยวต้องกลับไปถามว่าเป็นใคร) ทุกครั้งที่มีการจัดประชุม/อบรมงานไหนงานนั้นไม่เคยพลาด ยิ่งเรื่องใหม่ ๆ น่าสนใจยิ่งไม่พลาดใหญ่ แต่ก็พลาดจนได้อย่างกะทันหัน ...ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต (บิดาของคนที่บ้านจ้ะ)เลยหมดโอกาสไปพัฒนาตนเอง โชคดีเพื่อนสนิทเอาหนังสือที่วิทยากรท่านนี้แต่งเอามาฝาก ก็นำมาอ่านและศึกษาเองไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอก... ผ่านมาจนถึงปี 50 – 51 เรื่องนี้ถูกทำมาใช้เพื่อพัฒนาองค์กร กำลังจะศึกษาอยู่พอดี... ไม่อยากพูดเลยว่าไม่มีเวลา...เพราะ เรื่องใหม่ ๆ ตอนนี้มันเข้ามามาก งานก็ทั้งยุ่งและเยอะด้วย ....โชคดีมีโอกาสมาร่วมพัฒนาตนเองกับโครงการคุณปัด....ต้องขอบคุณจริง ๆ หากไม่มีงานนี้ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะได้เรียนรู้เรื่องนี้อีก อีกคนที่ต้องของคุณ คือ ศน.เจต ที่เป็นผู้ชักชวนให้มาร่วมกิจกรรมนี้ ฮึ่ม ! ขอบคุณจริง ๆ นะ เข้าเรื่องต่อ พบสมาชิกกลุ่ม 1 ทุกคนต่างห็นตรงกันว่า กลุ่ม 1 เราตัดสินใจจะเล่นกันเรื่องนี้แหละ อย่าปล่อยนะ ตรงกับเป้าหมายตนเอง เป้าหมายกลุ่มคือพัฒนาตนเองเพื่อนำไปสู่การพัฒนางาน เห็นมั้ยว่ามันเริ่ดหรู(เลิศหรู)มากเลย.... ทุกคน(กลุ่ม 1) จับไม่ปล่อย ไม่ว่าจะเป็นงานที่ให้ทำในสัปดาห์ใดก็มุ่งไปสู่เรื่องสมรรถนะ competency ... ทั้งนั้น
ก็อย่างที่บอกว่าสำหรับตนเองแล้วต้องการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้กับตนเอง อยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อมีโอกาสต้องทำต้องพัฒนา จึงได้มาพิจารณา(ประเมิน)ว่าตนเองน่าจะต้องพัฒนาตนเองอะไรบ้างเพื่อจะได้สร้างการยอมรับในสังคม/มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ แต่บางที่เราก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเราควรพัฒนาอะไรดี จะพัฒนาอะไรก่อน – หลังดีหละ ใครจะสามารถบอกเราได้ แน่นอนที่สุดคนแรกก็คือ ตัวเราเองนี่แหละ ส่วนคนอื่น ๆ ก็สำคัญไม่น้อย พอดี ได้อ่านเจอเกี่ยวกับเรื่องสมรรถนะที่กำลังเป็นที่สนใจของทุกหน่วยงาน จะเอาอย่างไรดีหละก็ได้ร่วม ลปรร.กับสมาชิก คุณปัดหัวหน้าโครงการ กับผชช. ตลอดทั้งอ่านเจอบทความของประกอบ กุลเกลี้ยงเรื่อง การประเมินสมรรถนะ ที่ได้ให้ความเห็นว่่าหากต้องการผลการประเมินที่ออกมาเที่ยงตรง น่าเชื่อถือ ได้ข้อมูลจากหลายมุมมอง เห็นจุดแข็งและขอบเขตการพัฒนาที่กว้างขวางขึ้น มีความเป็นกลาง สร้างแรงจูงใจ มีความยืดหยุ่น ต้องเป็นการประเมินแบบ 360 องศา คือการให้บุคคลแวดล้อมเป็นผู้ประเมินผลพฤติกรรมคุณลักษณะที่แสดงออก
ดังนั้น งานที่ต้องทำต่อไปก็คือ ต้องเริ่มศึกษาหาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมายืนยันตลอดทั้งสร้างกรอบแนวคิดในการดำเนินงาน แต่ตอนนี้ต้องรีบส่งงานสัปดาห์ 3 ก่อนถึงเวลานัดหมายร่วม Share กับกลุ่ม ตี 5 วันพุธ....ก็เลยต้องบอกให้ทราบแต่เพียงแนวคิด/ทฤษฎีใดน่าจะเกี่ยวข้องบ้าง ส่วนรายละเอียดนั้นเล่นไม่ยาก มีหัวหน้าโครงการ ผชช.และสมาชิกเป็นตัวช่วยอยู่ รับรองต้องสำเร็จ(แน่ ๆ เลย) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่
· แนวคิดของศาสตราจารย์ David C. McClelland เรื่องสมรรถนะ
· แนวคิดของเบนจามิน บลูม (Benjamin Bloom , 1980) Bloom’s Toxonomy เกี่ยวกับแนวคิดการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และความสามารถของมนุษย์ไว้ 3 ประเภท คือ 1) การวัดความรู้และทักษะ (Cognitive Domain 2) การวัดพฤติกรรมการปฏิบัติงาน (Affective Domain) 3) การวัดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงาน (Psychomotor Domain)
· แนวคิดเรื่องสมรรถนะมาใช้ในการบริหารงานทรัพยากร โมเดลภูเขาน้ำแข็ง : การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมในการทำงานอย่างใดขึ้นอยู่กับคุณลักษณะที่บุคคลมีอยู่ ซึ่งอธิบายในตัวแบบภูเขาน้ำแข็ง คือ ทั้งความรู้ ทักษะ/ความสามารถ (ส่วนที่อยู่เหนือน้ำ) และคุณลักษณะอื่น ๆ (ส่วนที่อยู่ใต้น้ำ)
· แรงจูงใจ· ความแตกต่างระหว่างบุคคล
· ทฤษฎีของมาสโล ความต้องการของมนุษย์ 5 ขั้น
ฯลฯ
สำหรับในรายละเอียดคงต้องอาศัยเวลาในการศึกษาและร่วม ลปรร. กัน ตอนนี้ต้องรีบไปปฏบัติหน้าที่ก่อน เกรงว่า สมาชิกกลุ่ม 1 จะไม่มีข้อมูล วันนี้ปฏิบัติงานนอกพื้นที่ไม่มีสัญญาณ ที่สำคัญ ต้องส่งงานก่อนมา Share จึงขอส่งก่อน ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย
เรื่องที่อยากทำ
ค้นพบ/พัฒนาตนเอง โดย.....การประเมินสมรรถนะ .....วิเคราะห์/จัดลำดับการพัฒนาสมรรถนะ..... ศึกษาหารูปแบบการพัฒนา..... จัดทำ ID-Plan ... ดำเนินการพัฒนาตามแผน ......สรุป/รายงานผลการพัฒนา
ใครมีอะไรดีร่วม Share ด้วย (ต้องรีบไปแล้วหละ)
ลงชื่อ อุไรวรรณ ปัญญาอุทัย ผู้บันทึก
ชื่อบันทึก...งานที่อยากจะทำ ใช่ไหมครับ
เรื่องสมรรถนะ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของใคร ก็ดีเหมือนกันหมด ดังนั้นเราควรนำมาสังเคราะห์ ให้ได้แนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ในหน่วยงานของเราเอง หรือตัวเราเอง ดังนั้นสมรรถนะที่ดีที่สุด ก็คือสมรรถนะที่เราคิดขึ้เอง และปฏิบัติตามอย่างถูกวิธีและอย่าละเลย... ถ้ารู้แล้วไปทำก็ไม่มีความหมายใด ๆๆ
ใช่แล้วค่ะ เขียนชื่อบันทึกผิดค่ะ ที่ถูกคือ "งานที่อยากจะทำ" พอดีรีบไปหน่อยไม่มีเวลาตรวจทาน ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คราวหลังจะให้พลาดน้อยที่สุดค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วม Share
สมรรถนะเป็นเรื่องไกล้ของคนทุกคน เพราะทุกคนต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมออย่างที่พี่อุว่าต้องพัฒนาตนเองก่อนที่จะไปพัฒนาคนอื่น ดังนั้นเมื่อพัฒนาสมรรถนะหลักและสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานแล้ว ก็น่าจะลองทำสมรรถนะอื่นลองดูบ้างนะครับเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง ดังที่เขาว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด การพัฒนาก็น่าจะเช่นเดียวกันกับการเรียนรู้
มีเทคนิคเรื่องการประเมิน competency assessment gap มาฝากค่ะ เป็นการนำเกณฑ์หรือปัจจัยที่คาดหวัง (Future-What should be) เปรียบเทียบกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงของบุคคล (หรือของเรา) (Present-What is) มีภาพให้ดูค่ะ
(โมเดลนี้น่าจะเป็นของ ดร. อาภรณ์ ภู่วิทยพันธ์ ถ้านำไม่ผิดนะคะ)จากการประเมินช่องว่าง (gap) ของความสามารถนั้นมี 3 ลักษณะได้แก่
1. ความสามารถในการทำงานปัจจุบันมากกว่าความสามารถที่คาดหวัง - ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดแข็ง (Strength)
2.ความสามารถในการทำงานปัจจุบันตรงตามความสามารถที่คาดหวัง - ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชากำหนดขึ้น (Meet Target)
3.ความสามารถในการทำงานปัจจุบันน้อยกว่าความสามารถที่คาดหวัง - ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดอ่อน (Weakness)
จากผลการประเมิน gap หัวหน้า (หรือเราเองถ้าเป็นการประเมินสมรรถนะของตัวเอง)ควรเลือกจุดอ่อนมาพัฒนาก่อน เนื่องจากตราบใดที่เรายังคงรับผิดชอบงานในปัจจุบัน ก็ควรได้รับการพัฒนาความสามารถที่เป็นจุดอ่อนก่อน เพราะความสามารถนั้นจะมีผลต่อเป้าหมายหรือผลสำเร็จของแต่ละคน อย่างไรก็ตามการพัฒนาจุดอ่อนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดช่วงเวลาในการพัฒนา ไม่ใช่ว่าพัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ไม่เกิน 1 ปี หรือไม่เกิน 2 ปี (ห้ามอู้ค่ะ เมื่อประเมินได้แล้วต้องรีบพัฒนา) อันนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นเร่งด่วนของงานที่รับผิดชอบ แต่ถ้าพัฒนาจุดอ่อนนาน ๆ ไปก็ไม่ดีขึ้น เค้าก็จะให้มองที่จุดแข็ง ว่าถนัดอะไรแล้วหาวิธีการพัฒนาใหม่ที่เหมาะสมและถนัด (ตามจุดแข็ง) ของแต่ละคนค่ะ
เคยศึกษานานมาแล้วน่ะค่ะ ก็เลยเอามา share กัน
คนที่ศึกษาเรื่องแนว ๆ นี้ต่อเนื่องก็คือ อ. ชัชรินทร์ ชวนวัน "สคบศ." ลองถามท่านเจตฯ ดูนะคะ เค้าเป็นเพื่อนเรียน Ph.D. ด้วยกันเจ้า...
หมายเหตุ แอบเข้าบล็อกของกลุ่มนะคะ เพราะต้องการ upload รูปให้ดู ไม่งั้นไม่รู้จะเอารูปขึ้นยังไง บล็อกเค้าไม่ยอมค่ะ ขออภัยในความละลาบละล้วงมา ณ ที่นี้ค่ะ (โชคดีที่ยังเข้าได้ค่ะ ไม่งั้นคงต้องส่งทาง mailX
เติมเต็มอย่างนี้ ต้องขอสู้ตาย ...คิดตอนแรกว่าจะพัฒนาจุดอ่อนที่สุดก่อน โดยกำหนดเรื่องเวลาไว้ ส่วนวิธีการกระบวนการในการพัฒนาค่อยไปพิจารณาอีกทีหนึ่ง แต่อย่างที่ อ.ปัดแนะนำว่า....ไม่ใช่พัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ...แสดงว่าต้องมีช่วงเวลาการพัฒนาแล้วทำการสรุป/ประเมินผล
...แต่ถ้าพัฒนาจุดอ่อนนาน ๆ ไปก็ไม่ดีขึ้น เค้าก็จะให้มองที่จุดแข็ง ว่าถนัดอะไรแล้วหาวิธีการพัฒนาใหม่ที่เหมาะสมและถนัด (ตามจุดแข็ง) ของแต่ละคนค่ะ...โอ้โห! เรื่องนี้ก็น่าสนใจมากเกี่ยวกับการพัฒนาจุดแข็ง ต้องประเมินจุดแข็งของตัวเองบ้างแล้วหละ...และพัฒนาให้แข็งยิ่งขึ้น...น่าสนใจ ขอบคุณมากสำหรับสิ่งดี ๆ ที่มีให้เสมอค่ะ
ลองดูเทคนิคการบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์บ้าง...อาจปรับใช้ได้บ้าง
ถูกต้องของคุณปัด ค่ะ โมเดลนี้ปรากฏในบทความของ อาจารย์อาภรณ์ ก็จะให้ภาพชัดเจนขึ้น ส่วนงานของ อาจารย์ชัชรินทร์ ก็ทำให้เข้าใจการประเมินและพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการครูและบุคากรทางการศึกษา ค่ะ
ดีจังได้ความรู้เยอะเลย...