คนชอบพูดกรอกหูให้ได้ยินเสมอว่า “ทำอะไรต้องมีแผน” ทำให้ป้าเจี๊ยบจอมแหกคอกอยากทำอะไรแบบไม่มีแผนบ้าง มาสบโอกาสตอนวันหยุดอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา (17-18 ก.ค.) จัดการพาตัวเองไป "เที่ยวแบบไร้แผน" ค่ะ
สมาชิกครอบครัวมีแผนกันหมดเนื่องจากเป็นวันหยุดต่อเนื่องกันหลายวัน เสาร์นี้จึงไม่มีวันครอบครัวตามปกติ น้องแพรคู่หูของป้าเจี๊ยบไปเชียงใหม่กับพ่อแม่ตั้งแต่เที่ยงวันพุธ
พอรถน้องแพรลับตา ต่อมเที่ยวของป้าเจี๊ยบก็กระตุก นึกอยากไปตลาด 100 ปีที่สามชุก สุพรรณบุรี เนื่องจากศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค) ป้าเจี๊ยบชวนป้าแจงไปตลาด 100 ปีที่คลองสวน ฉะเชิงเทรา จึงอยากรู้ว่าบรรยากาศสองตลาดนี้ต่างกันอย่างไร
สุ่มโทรศัพท์หาเพื่อนหลายคน ส่วนใหญ่มีแผนกันหมด สุดท้ายได้เพื่อนที่ไม่มีแผนมา 3 คน คือ รศ.ศุภานัน สิทธิเลิศ รศ.มาลี พัฒนกุล และอาจารย์พวงพยอม ณ ลำปาง บอกเพื่อนว่าจัดกระเป๋าเผื่อค้างคืนด้วย เพื่อนก็ดีมาก ไม่ถามสักคำว่าจะค้างที่ไหน อย่างไร
ป้าเจี๊ยบรับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยตอนเก้าโมงเช้า แล้วออกไปทางถนนบรมราชชนนี ขับผ่านบางบัวทองเพื่อไปปสุพรรณบุรีค่ะ ใช้เวลานานเกือบ 2 ชั่วโมงทั้งๆ ที่ระยะทางแค่ร้อยกิโลเมตร เพราะเห็นอะไรชอบใจระหว่างทางก็จอดลงไปดู
อย่างเช่น ฝักหางนกยูงซึ่งเพื่อนไม่เคยกิน ป้าเจี๊ยบก็จอดให้ลงไปเก็บมาชิม เห็นต้นไม้มีดอกหรือฝัก ไม่ทราบได้ สีแดงเข้มสวย เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ยุติข้อพิพาทด้วยการจอดข้างทางให้ลงไปดูกันเอง ฮืม...
ตลาดสามชุกร้อยปี มีของกินมากมาย เป็นที่สบอารมณ์คนชอบเที่ยวและชอบกินทั้ง 4 เป็นกันมาก เพื่อนๆ ซื้อโน่นนิดนี่หน่อยชิมไปตลอดทางที่เดินผ่าน ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคเช่นกันกับที่คลองสวนค่ะ แต่พื้นที่ใหญ่กว่ามาก มีหลายซอยให้เดิน ขณะที่ตลาดคลองสวนเป็นร้านค้าคู่ขนานไปกับลำคลองยาวเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้น
4 สหายเดิน “กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น” กันประมาณ 2 ชั่วโมงก็ออกมากางแผนที่ดูว่าจะไปไหนต่อ จะไปค้างที่บ้านกลางดงกับป้าแจง หรือจะไปสิงห์บุรี อ่างทอง อุทัยธานี...ฯลฯ สรุปว่าไปเวียนเทียนที่อุทัยธานีกันเถิดเอย..
เส้นทางที่มุ่งไปอุทัยธานีผ่านป้ายบอกทางไป “บึงฉวาก” ป้าเจี๊ยบก็เลี้ยวตามป้ายเข้าไปแวะดู ขณะที่ขับผ่านสวนสัตว์ไปได้หน่อยนึง ป้าเจี๊ยบเห็น “ขนำ” ริมทาง รีบเอ่ยปากชวนเพื่อนว่าจอดกินข้าวที่ “ศาลา” ไหม? ทุกคนเห็นด้วยก็เลยหยุดรถ ไปนั่งกินข้าวบ่ายกัน มองทุ่งนาสีเขียวสวย แถมลมพัดโกรกเย็นสบายซะอีก..
ระหว่างกินก็เปิดอภิปรายว่าที่ป้าเจี๊ยบเรียก “ขนำ” ว่า “ศาลา” เพราะคิดว่าเพื่อนๆ ไม่รู้จักคำนี้ ปรากฏว่าพวงพยอมคนพะเยากับมาลีคนสงขลาบอกว่ารู้จัก "ขนำ" ดี แถมมาลียังบอกว่าเรียก “เถียงนา” ก็ได้ ศุภานันเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักทั้งสองคำ แถมได้ยินแล้วยังเรียกผิดเป็น “เขียงนา” ซะนี่..
พอกลับมาเล่าให้เพื่อนๆ ที่ทำงานฟังก็เกิดวงเสวนาเรื่องขนำกันขึ้น
ผศ.บุญเที่ยงคนราชบุรีบอกว่า “บ้านผมเรียกโรงนา” ไหงงั้น?
อาจารย์สิริมณีบอกว่า “เถียงนาของบ้านหนูหมายถึงบริเวณที่คันนาสี่ทิศมาชนกัน มีพื้นดินกว้าง พอนั่งกินข้าวได้ คนเก่าแก่ออกเสียงว่าเขียงนาก็มีค่ะ” โอ๊ะ.. งั้นศุภานันเรียกเพี้ยนก็ไม่เป็นไรนิ ..
ลงท้าย ป้าเจี๊ยบก็เลยเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตดูซะหน่อย ได้ความอย่างนี้ค่ะ
ขนำ
[ขะหฺนํา] (ถิ่น-ปักษ์ใต้) น.
กระท่อมชั่วคราวในทุ่งนาเป็นต้น
เถียง
(ถิ่น–อีสาน)
น. เรือนพักชั่วคราวในทุ่งนา
สําหรับอยู่เฝ้าข้าว
เมื่อกูเกิ้ลคำว่า “เถียงนา” ก็พบว่าในบ้านทรงไทยดอทคอมมีบทความในเรื่อง “เถียงนาคืออะไร” ของคุณยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ ซึ่งเป็นเพื่อน ‘ถาปัดเขียนไว้ด้วย และมีการอธิบายคำ “ขนำ” ไว้ว่า เรือนเครื่องผูกชนิดหนึ่ง ยกพื้นสูง ไม่นิยมกั้นฝา ใช้สำหรับอาศัยอยู่ ชั่วครั้งชั่วคราว เช่น ขนำสำหรับอยู่เฝ้านา
เป็นอันว่าตอนนี้รู้แน่ชัดแล้วว่า คำหนึ่งเป็นภาษาถิ่นปักษ์ใต้ อีกคำเป็นอีสาน ฉะนั้นคนภาคกลางอย่างป้าเจี๊ยบเรียก “ศาลา” ก็น่าจะไม่ผิด....
ป.ล. ป้าเจี๊ยบต้องขออภัยเจ้าของขนำไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ที่เข้าไปใช้ประโยชน์โดยพลการ และขอยืนยันว่าไม่ได้ทำลายสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นแต่อย่างใด พร้อมทั้งดูแลทุกอย่างให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยก่อนออกเดินทางต่อ ขอบคุณค่ะ..
ขอบคุณครับป้า
ตามป้าๆไปแอ่วครับ
อีกไม่นาน.. ป้าเจี๊ยบจะไปแอ่วถิ่นคุณจตุพรค่ะ