ฉันนั้นกำลัง "รดน้ำต้นไม้..."


กว่าปีครึ่งที่ผ่านมานี้ไม่กี่ครั้งที่ฉันเจอเพื่อนเก่า แต่เกือบทุกครั้งนั้นทุกคนต่างถามว่า “ทำไมฉันถึงมาบวช...?”

และแต่ละครั้งที่ฉันตอบนั้นฉันก็จะบอกเพื่อนทั้งหลายว่า วันนั้นฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าฉันมาบวชได้อย่างไร...!

ต่อจากนั้นก็ต่อมาด้วยความสงสัยว่าทำไม “คนอย่างฉัน” จึงได้บวชอยู่นาน

อื่ม... วันนี้ฉันรู้แล้วหละ ว่าทำไมฉันถึงได้มาบวช และทำไมฉันถึงได้อยู่นาน

“ฉันนั้นกำลังรดน้ำต้นไม้...”

 


ใช่...ฉันกำลังรดน้ำต้นไม้

บุคคลทั้งหลายรดน้ำที่โคน แต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย

ฉันนั้นมีชีวิตแต่ไม่รู้จักชีวิต ชีวิตนั้นจึงกัดกินชีวิตของฉันเอง
เมื่อก่อนนั้นฉันไม่เคยรดน้ำให้ชีวิต ชีวิตของฉันก็เลยแห้งแล้ง เหี่ยวเฉา เหี่ยวเฉาเพราะขาดความอ่อนน้อม ถ่อมตน เหี่ยวเฉาด้วยไฟราคะ โมหะ และโทสะ ที่คอยเผาลนทั้งกายและใจนี้ให้เล่าร้อน กระวนกระวาย
ฉันนั้นถึงแม้ใคร ๆ จะดูว่าเก่ง มีความสามารถ แต่ความเก่งนั้น “มิใช่ความเก่งจริง...”  คนที่เก่งจริงคือคนที่ต้องประกอบด้วย “ศีล สมาธิ”
ศีล สมาธิ นั้นเองจะเป็นพื้นฐานให้ชีวิตนั้นมี “ปัญญา”
เมื่อมีปัญญาแล้วจึงจะได้ชื่อว่าเก่งจริง

เมื่อก่อนนั้นฉันยโส โอหัง ทะนงตนด้วยความเก่ง เก่งจากการเรียน เก่งจากการคิด ฉันเก่งทำแต่ไม่เก่ง “ธรรม” ชีวิตฉันจึงได้กระท่อน กระแทก จนกระแท่น

สัปดาห์ก่อน ฉันได้มีโอกาสไปพูดคุยกับนักศึกษา “มหาวิทยาลัยราชภัฏ” ที่มีโอกาสมาเข้าค่ายอบรมธรรมะที่วัดแห่งนี้ วันนั้นฉันติดสินใจอยู่นานว่าจะออกไปพูด ไปคุยกับนักศึกษาเหล่านั้นดีไหม ฉันกลัว ฉันอาย เพราะกว่าปีครึ่งที่ผ่านมาฉันพยายามหลบเหลี่ยงการเทศน์โดยใช้ไมโครโฟนมาตลอด นั่นเองคือ “ฉันไม่กล้าที่จะทำความดี” อายเมื่อที่จะต้องทำความดี กลัวที่จะต้องเสียสละ

แล้ววันนั้นฉันเองก็ได้รวมรวบความกล้า โดยยึดถือคำพูดจากท่านอาจารย์ไว้ในใจว่า “ทำความดีไม่ต้องไปอายใคร ทำไม่ดีสิน่าอาย...”
วันนั้นฉันจึงได้มีโอกาสไปบอก ไปเล่า ไปคุยกับเด็ก ๆ นักศึกษา “ราชภัฏ”
สถานที่ที่ฉันเติบโตขึ้นมา สอนฉัน ให้โอกาสฉัน แล้ววันหนึ่งนั้นฉันก็เป็นคน “เนรคุณ...”
วันนั้นฉันเล่าให้นักศึกษาฟังว่า ฉันเองเกิดและเติบโตมากับ “ราชภัฏ” แต่แล้ววันที่ฉันเก่งแล้ว ดีแล้ว ฉันเองก็คิดจะหนี ทิ้ง และบ๊ายบายจาก “ราชภัฏ” ด้วยการลาออกแทนที่จะลาศึกษาต่อ
วันนั้นฉันมีโอกาส มีทุน ที่จะไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ วันนั้นฉันคิดแล้วว่า ถ้าฉันได้ไปแล้วฉันจะไม่กลับมาอีก ฉันนี้ช่างเลวด้วยความแห้งแล้งน้ำใจ ไร้ความกตัญญูเสียจริง ๆ

แล้วฉันยังบอกเด็กนักศึกษาอีกว่าที่วีซ่าฉันมีปัญหาคราวนั้น ก็เพราะด้วยความอกตัญญูอีกนั่นแหละเป็นสำคัญอีกนั่นเทียว
ตอนนั้นฉันเอาความคิดจาก “ชุดความรู้” ในสังคมว่าชื่อฉันนั้นไม่ดี ไม่เป็นสิริมงคล และชื่อฉันนั้นเป็น “กาลกิณี” ฉันเองจึงไปเปลี่ยนชื่อให้เลิศ ให้หรู ให้งาม แล้วไม่นานกรรมนั้นก็ตามสนองฉันด้วยการถูกปฏิเสธวีซ่าอย่างหน้าตาเฉย


การเปลี่ยนชื่อใครหลาย ๆ คนเคยใช้เพื่อปกปิดประวัติ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนพาสปอร์ต เปลี่ยนตัว สลับตัว ฉันเองก็ถูกจัดเข้าข่ายนั้นไปด้วย

ฉันเองจึงให้นักศึกษาจำไว้ว่า ชื่อน่ะก็เป็นแค่ชื่อ ชื่อน่ะไม่เป็นกาลกิณีหรอก แต่ไอ้เจ้าความคิดของเราเอง ตัวเราเองเนี่ยและเป็น “กาลกิณี”
กาลกิณีเพราะความอกตัญญู ไม่พอใจต่อสิ่งที่พ่อที่แม่มอบมาให้ ใจฉันนั้นช่างแห้งเหี่ยวไร้น้ำใจต่อความเมตตาของพ่อแม่ที่ตั้งชื่อมาให้เสียจริง ๆ

หรือถ้าชื่อนั้นไม่ดีจริง สิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นนั้นก็มิเทียบเท่าได้เลยกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดจากความ "อกตัญญู" หรืออย่างน้อยที่สุดความเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ "ตัวเราเอง" ตัวเราเนี่ยแหละเลวเอง...

 

วันนี้ฉันจึงมา ฉันจึงอยู่เพื่อ “รดน้ำให้ชีวิต...”
รดน้ำให้ชีวิตชุ่มชื่นด้วย “ศีล”
ใส่ปุ๋ยให้ชีวิตด้วย “สมาธิ”
เพื่อให้ชีวิตฉันนั้นเติบโต แข็งแรงอย่าง “ธรรมชาติ”

เมื่อก่อนนั้นฉันดูแลรักษาต้นไม้ต้นนี้แบบผิด ๆ
อยากได้ดอก ได้ผล ก็ไปซื้อกิ่งโน้นมาทาบ ไปตอนกิ่งนั้นมาแปะ
เมื่อมีลูก มีผล แล้วกิ่งก้านเล็ก ๆ จะไปคงทนรับน้ำหนัก แรงดึง แรงดันจากกิเลสอันยั่วเย้าได้อย่างไร กิ่งนั้นก็หักโพล๊ะ ทั้งกิ่ง ทั้งดอก ทั้งผลก็ตกหล่นร่วงลงสู่ดิน...

ชีวิตฉันจึงต้องเดินอย่างกระปลกกระเปลี้ย เหมือนคนที่อ่อนเพลียไร้กำลัง
กิ่งก้านช่างเล็กน้อย แต่พยายามชูคอให้สูงใหญ่
ร่างกายของตัวนี้เล็ก ก็พยายามขึ้นวอให้ใหญ่เกินใคร
เมื่อวานนั้นกิ่งก้านสาขาของฉันนั้นหักลง หักลงด้วยความหยิ่งผยองไม่ยอมน้อมเหมือนดั่งต้นข้าวที่เมื่อมีรวงก็ยอมอ่อนน้อมลงมาจรดดิน

วันนี้ฉันจึงต้องอยู่เพื่อ “รดน้ำให้ชีวิต”
ฉันจะไม่ยอมฉีดสารพิษ สารเคมีทั้งหลายเข้าทางใบและลำต้นอีกแล้ว


บุคคลทั้งหลายรดน้ำที่โคน แต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย
ฉันเองก็จะเพียร จะสู้ รดน้ำต้นนี้ที่โคน ที่ปลาย ด้วย “ศีล และสมาธิ”
เพียรรดน้ำทีละหยด ทีละแก้ว แล้ว “อดทน” เฝ้ารอวันที่ต้นไม้นี้นั้นมีรากแก้วนั้นคือ “สติ” ที่ไว้ใช้คุ้มครองรักษาเมื่อยามลมหรือภัยต่าง ๆ ซัดเข้ามา
ฉันจะเพียรตักน้ำทีละขัน ทีละแก้ว ถึงแม้จะอยู่ในบ่อที่ห่างไกล หรือในหุบเหวอันสุดลึก เพื่อมารดไว้ที่โคนไม้ต้นนี้

ฉันจะเพียรใช้สติป้องกันมิใช่ภัยต่าง ๆ นานา จากกิเลสและตัณหาที่จรเข้ามาแล้วจะพัดพาซึ่งดวงใจ
ฉันจะเพียรสู้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้งหลายด้วยการบำรุงรักษารากแก้วคือสตินี้ไว้ให้ตั้งมั่น

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ วันนี้ฉันอยู่ในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ฉันได้มีโอกาสมาหยั่งรากอยู่ในผืนนาที่แสนดีที่มีองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เมตตาอบรม สั่งสอน ชี้นำ แสงสว่าง อันประเสริฐดุจคบไฟดวงใหญ่ที่ส่องสว่างไฉไลไปในท่ามกลางความมืดมนของชีวิตที่ผ่านมา

ฉันจะขอเพียรรดน้ำให้แก่ต้นไม้แห่งชีวิตนี้ให้ได้ดี ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะรวบรวมสรรพกำลังไปช่วยเหลือ ดูแล พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่าลงทุกขณะ

วันหนึ่งข้างหน้า ต้นไม้ต้นนี้หนาคงจะไม่แข็ง มีเรี่ยวแรง และกำลังออกไปยืนสู้อย่างขึงขังเพื่อให้ท่านทั้งสองสุขและสบาย

วันนี้ฉันนั้นกำลังรดน้ำ ดูแล ประคม ประหงมต้นไม้ต้นนี้ พร้อมกับเสียสละ ทำความดีเพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้มีร่มเงา
ความเหี่ยวแห้งแห่งใบเก่า ฉันก็ไม่ได้เอาไปทิ้งที่ไหน ฉันเอาใบเก่านั้นมาปลุกไว้ที่โคนต้นไม่ห่างไกล ปกคลุมไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจตน

ใบที่เหี่ยวในวันก่อนนั้นสอนฉัน
เฝ้าดูมัน เฝ้าย้ำคิด บิดความรู้
สกัด จัดการ ความรู้ ให้ใจดู
เพื่อมุ่งสู่ สิ่งสอนตน ให้พ้นภัย

เมื่อไม้ใหญ่ มีเครือไม้ ให้เงาร่ม
ย่อมอุดม ความร่มเย็น สู่โคนไม้
น้ำที่รด ย่อมพลันเกิด ผลมากมาย
ดอกทั้งหลาย ผลิเกสร ตามฤดู

ไม่นานนัก ผลบังเกิด นั้นแน่แท้
เพื่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง สังคมนั่น
ชีวิตนี้ เกิดมามี ความดีพลัน
ไม่เสียชาติ ที่เกิดนั่น มาเป็น “คน…”

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต
หมายเลขบันทึก: 195430เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2008 13:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม 2014 22:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ สุญญตา

กระผมเข้ามาเก็บเกี่ยวในรอยประสบการณ์

อันทรงคุณค่าของท่าน...ครับ

ท่านช่างมองเข้ามาข้างในได้ชัดเหลือเกิน

............................กราบมัสการ ครับ

เมื่อก่อนนั้นเราเองได้อ่านหนังสือมามากแล้ว

ชีวิตในวันนี้ได้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวีเพื่อ "อ่านตนเอง..."

อ่านในทุก ๆ ย่างก้าวที่เท้าทั้งสองเหยียบย่างไป

อ่านในทุก ๆ ลมหายใจที่เข้าและส่งถ่ายผ่านออกมา

เมื่อมีชีวิตเราเองนั้นควรจักต้อง "รู้ชีวิต" เพื่อไม่ให้ชีวิตนั้นกัดกินเจ้าของคือตัวของเราเอง

ชีวิตที่อ่านตนเอง ชีวิตนั้นย่อมจะไม่ทำลาย "ตนเอง"

ชีวิตหนึ่งที่เกิดมานั้นจะทรงคุณค่าอย่างมากมายถ้าศึกษาจนรู้จักลวดและลายแห่ง "ชีวิต..."

โมทนาสาธุด้วยใจจริง โดนใจผมมาก หลายครั้งเราก็ลืมรดน้ำ(ดี)ให้กับตนเองและคนรอบข้าง เผลอไปรดน้ำครำออกไป เป็นการทำร้ายตัวเองและคนอื่นโดยไม่รู้ตัว การรดน้ำต้องทำอยู่ทุกปัจจุบันขณะ ก็พยายามฝึกฝืนตัวเองอยู่ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท