นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๓)
โรงเรียนชาวนา
โครงการส่งเสริมKMเรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรยั่งยืน
“การจัดการความรู้ ของชาวนา โดยมี มูลนิธิข้าวขวัญนำกระบวนการ โดยลดบทบาทลงเป็น “คุณอำนวย” และให้ชาวนา เป็นพระเอก-นางเอก ที่ลงมือปฏิบัติจริง และเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้จริงๆ โดยมูลนิธิข้าวขวัญเอาความรู้ไปเสริมชาวบ้านบนพื้นฐานความรู้ภูมิปัญญา ทำงานร่วมกัน ทบทวนร่วมกัน แล้วเกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาจากการปฏิบัติจริง”
ทำไมชาวนาต้องเข้าโรงเรียน
นับตั้งแต่ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตั้งแต่ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา วิถีชีวิตของเกษตรกรไทย
ได้เริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรกรรม “ปฏิวัติเขียว”
มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างกว้างขวาง และเป็นเกษตรแบบเคมี
แทนการเกษตรแบบยังชีพ โดยอาศัยปัจจัยการผลิตที่นำเข้าจากภายนอก
ทั้งพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ปุ๋ย และสารเคมี ต่างๆ ที่ใช้เพื่อการเกษตร
ไม่เว้นแม้เครื่องจักรทางการเกษตร ทำให้ตลอดระยะเวลากว่า 40
ปีวิถีเกษตรกรและชาวนาไทยต้องเผชิญหน้ากับความ “ไม่รู้”
อันเป็นผลกระทบจากการไม่เคารพธรรมชาติ
กระทั่งบั้นปลายชีวิตต้องทุกทรมานด้วยโรคร้ายอันเกิดจากพิษสารเคมีรุมเร้า
ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้หลายกลุ่มในสังคม พึงตระหนักต่อปัญหาดังกล่าว
เมื่อเข้าสู่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539-2544) จึงได้กำหนดให้ 20
เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรหรือประมาณ 25 ล้านไร่
ต้องทำระบบเกษตรกรรมยั่งยืน 4 รูปแบบคือ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร
เกษตรอินทรีย์ และเกษตรกรรมธรรมชาติ
แต่ก็ยังไม่อาจต้านแนวทางปฏิบัติเขียวได้
เกษตรไทยยังบริโภคสารเคมีนำเข้าในอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ขณะที่ตัวเลขจำนวนผู้ป่วยจากสารเคมีก็เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง
จากปัญหาดังกล่าว
มูลนิธิข้าวขวัญ
(มขข.)ซึ่งทำงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเกษตรกรยั่งยืน
และพัฒนาปรับปรุง อนุรักษ์ พันธุ์ข้าวไทย มากว่า 10 ปี
จึงได้ร่วมมือกับ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
หน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมให้สังคมไทย มีการใช้ ความรู้ สร้างความรู้
และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
จากการปฏิบัติจริงเพื่อพัฒนางานในทุกภาคส่วนของสังคม ดำเนินโครงการ
“การส่งเสริมการจัดการความรู้
เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน”
เพื่อชักชวนชาวนามาร่วมกันแสวงหาทางออก ในเพื่อการลดต้นทุนการผลิต
และการพึ่งตนเอง รวมทั้งเพื่อสุขภาวะที่ดีของชาวนา
คัดเลือกพระเอก –นางเอก จาก 5 พื้นที่
4 อำเภอใน จ.สุพรรณบุรี
ชาวนาใน จ.สุพรรณบุรี |
จำนวน |
รูปแบบการผลิต |
ชาติพันธุ์ |
บ้านหนองแจง อ.ดอนเจดีย์ |
43 |
นาปี |
ลาวเวียง |
บ้านโพธิ์ อ.เมือง |
35 |
นาปรัง |
ลาวเวียง |
บ้านลุ่มบัว อ.เมือง |
25 |
นาปรัง |
เขมร |
บ้านสังโฆ,วัดดาว อ.บางปลาม้า |
43 |
นาปรัง |
ลาวเวียง/สุพรรณบุรี |
บ้านดอน,ยางลาว อ.อู่ทอง |
62 |
นาปรัง |
ไทยทรงดำ |
ฝันที่ต้องการให้นักเรียนชาวนาไปให้ถึง
คนในชุมชนมีความกินดีอยู่ดี,
แก้ปัญหาการใช้สารเคมีและหาวิทยาการทดแทนสารเคมี,
การทำการเกษตรรที่มีการฟื้นฟูระบบนิเวศ และประเพณีท้องถิ่น,
ลดต้นทุนการผลิตและลดภาวะหนี้สินภายในครัวเรื่อน
,สามารถเป็นแบบอย่างในเรื่องเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี , แก้ปัญหาต่างๆ
โดยใช้วิธีการรวมกลุ่มและทำงานร่วมกันเป็นทีม,สุขภาพของเกษตรกรและชุมชนปลอดภัยจากสารเคมี,
ข้าวพันธุ์ดี ราคาดี ต้นทุนต่ำ , ชาวนาสามารถคัดพันธุ์ข้าวได้เอง
,ข้าวปลูกไร้สารพิษ ผู้บริโภคปลอดภัย,ชาวนาอื่นๆ
มาร่วมเรียนรู้และขยายกลุ่มกว้างออกไป
นักเรียนชาวนา
เรียนอย่างไร
ให้ชาวนาเป็นตัวหลัก
และมีอิสระในการตัดสินใจเลือกใช้ความรู้เพื่อทดลองปฏิบัติ
โดยมีมูลนิธิข้าวขวัญเป็นผู้อำนวยให้เกิดกระบวนการกลุ่มและกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
โดยมีการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
และแหล่งอื่นเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการเรียนรู้
และพัฒนาความรู้เพิ่มตลอดเวลาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
โดยมูลนิธิข้าวขวัญมีบทบาทเป็น “คุณอำนวย” ลดอัตรา และตัวตนลง
ให้ต่ำกว่าชาวนาแล้วให้ชาวนาเป็นศูนย์กลาง
และเอาความรู้ไปเสริมชาวบ้านบนพื้นฐานความรู้ภูมิปัญญาเดิม
พร้อมกับเอาความรู้จากภายนอกมาทำงานทบทวนกันแล้วเกิดความรู้ใหม่
ขึ้นมาปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการเรียนรู้ของนักเรียนชาวนา
กระบวนการชักชวนชาวนามาร่วมกันเป็น “ก๊วน”
เริ่มจากการไปชักชวนชาวนาในพื้นที่ มานั่งปรับทุกข์ ใน
“เวทีตั้งโจทย์เพื่อหาเพื่อนร่วมทาง” เพื่อชี้ให้เห็นทุกข์
ในปัจจุบัน และนำไปสู่การสืบค้นอดีต และทบทวนสถานการณ์การทำนา
จากนั้นก็ให้ชาวนามานำเสนอปัญหาของตนเองซึ่งพบว่าในอดีตแม้ว่าชาวนาจะมีเงินน้อยแต่ก็ไม่มีปัญหาหนี้สิน
เพราะทำนาต้นทุนต่ำ ,
ในอดีตชาวนาสุขภาพแข็งแรงผู้เฒ่าผู้แก่อายุยืนเพราะอากาศบริสุทธิ์
แต่ปัจจุบันป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ,ในอดีตค่าใช้จ่ายในครัวเรือนต่ำเพราะไม่ต้องซื้อหาอาหารมากเท่าปัจจุบัน
ในท้องนามีกุ้ง หอย ปู ปลา มีผักสวนครัวเก็บทานได้,
ในอดีตไม่ต้องเสียเงินจ้างแรงงาน เพราะมีการลงแขกเกี่ยวข้าวดำนา
ปัจจุบันต้องจ้างแรงงาน
วัฒนธรรมเลือนหายอีกทั้งชาวบ้านขาดความสามัคคี,ในอดีตครอบครัวอบอุ่น
พ่อ
แม่ลูกช่วยกันทำการเกษตรปัจจุบันต้องทำงานรับจ้างเพิ่มเพื่อหาเงินใช้หนี้สิน
เป็นต้น
นอกจากการชี้ให้เห็นทุกข์ เพื่อทบทวนอดีตแล้ว มูลนิธิข้าวขวัญ
ยังพาชาวนาลองคิดต้นทุนการทำนาในแต่ละฤดูการทำนา
ซึ่งพบว่าชาวนาสูญเสียต้นทุนไปกับ ยาฆ่าแมลง, ค่ายาคุมหญ้า ,
ค่าปุ๋ยเคมี และค่าข้าวปลูก,ไปจำนวนมาก
และพบว่าการทำนาแต่ละฤดูกาลมีต้นทุนสูงถึง 3,000-5,000 บาทต่อไร่
อีกทั้งชาวนายังได้คิดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่ไม่น่าสูญเสีย เช่น
ผักสวนครัวที่สามารถปลูกไว้กินเอง หรือ กุ้ง หอยปู ปลา
ที่เคยเก็บหาได้ในนา ปัจจุบันก็ต้องซื้อหาแทบทุกอย่าง
ประกอบกับค่ารักษาโรคที่เกิดจากผลกระทบจากสารเคมีซึ่งพบแทบทุกครัวเรือน
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชาวนาได้มีโอกาสทบทวนและเห็นภาพความเป็นจริงขึ้นในที่สุด
เมื่อกระบวนการทบทวนได้ทำให้ชาวนาเห็นว่า
กระบวนการทำนาในแบบใช้สารเคมี ได้ก่อให้เกิดปัญหาและต้นทุนที่สูงแล้ว
ก็ยังได้เรียนรู้ตัวอย่างความสำเร็จจาก นายชัยพร พรหมพันธุ์
เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ปี 2538 ชาวนาต้นแบบการทำนาแบบเกษตรกรรมยั่งยืน
ไม่ใช้สารเคมีที่มาเล่าให้ฟังถึงกระบวนการทำนาแบบไม่ใช้สารเคมี
ทั้งยังสามารถลดต้นทุนจากกว่าไร่ละ 2,000 บาทเหลือเพียงไร่ละ
800 บาท มีเวลาว่างไปทำงานอื่นๆ เพราะไม่ต้องพ่นยาฆ่าแมลง
ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องไถ และไม่ต้องสูบน้ำบ่อย มีเงินเหลือ เวลาเหลือ
ครอบครัวอบอุ่น เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้ชาวนาสุพรรณบุรี
ขบคิดถึงปัญหาและทางออกให้กับตนเองชัดขึ้น และล้อมวงชิดเข้ามาร่วมกัน
“กำหนดเป้าหมายและทิศทางร่วมกัน”
แม้ว่าจะมีชาวนาส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อก็ตาม
กระทั่งชาวนาได้ข้อตกลงกันว่า
ต้องการลดต้นทุนการผลิต โดยใช้สารชีวภาพแทนการใช้ปุ๋ยและสารเคมี
แต่ด้วยวิธีใดนั้น มูลนิธิข้าวขวัญเสนอว่าชาวนาจะต้องเรียนรู้ร่วมกัน
ทั้งเรื่องการกำจัดศัตรูพืช การปรับปรุงบำรุงดิน
และการพัฒนาพันธุ์ข้าวด้วยตนเองเพื่อการพึ่งตนให้มากที่สุด
เนื้อหาโรงเรียนชาวนา
1.หลักสูตร 1 การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี
ชาวนาร่วมกันเรียนรู้ระบบนิเวศในแปลงนา ,
เรียนรู้วงจรชีวิตของแมลง,เรียนรู้แมลงดี แมลงร้าย
และเรียนรู้สมุนไพรพื้นบ้าน ป้องกันแมลง
กระบวนการเรียนรู้จริง
นักเรียนชาวนาที่ถูกแบ่งกลุ่มตามพื้นที่การทำนาเรียนรู้ข้อมูลเรื่องแมลงในนาข้าวจากเอกสารอ้างอิง
จากนั้น
ก็ลงไปในแปลงนาเพื่อโฉบแมลงในแปลงนาของตนขึ้นมาเปรีบยเทียบกับข้อมูลจริงว่า
เป็นแมลงดี (กินแมลงศัตรูพืช) หรือ แมลงร้าย (กัดกินต้นข้าว)
บันทึกลักษณะโดยการวาดรูป และบรรยายคุณสมบัติของแมลงลงไปในสมุดบันทึก
โดยจะเรียนรู้เรื่องแมลงนี้เป็นเวลาประมาณ 18 สัปดาห์
ซึ่งจะคาบเกี่ยวช่วงของการทำนาจริงๆ ที่แตกต่างกันไป
และแมลงศัตรูพืชก็มีวงจรที่แตกต่างเช่นกัน
ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้เรื่องการกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธี
1.ในแปลงนามีแมลงที่เป็นมิตรกับชาวนามากกว่าแมลงร้าย
2.การฉีดพ่นสารเคมี ทำให้แมลงที่เป็นมิตรกับชาวนาหายไป
3.การปล่อยให้แมลงความคุมกันเอง เป็นการลดต้นทุน
4.หากแมลงมีปริมาณที่ไม่สามารถควบคุมกันเองได้
ให้ใช้สมุนไพรไล่แมลง
5.สูตรสมุนไพรต่างๆ ที่ใช้ไล่แมลง อาทิ
สูตรรวมมิตรเพื่อล้มต้นทุนของ นายบุญมา ศรีแก้ว วัตถุดิบ
หางไหลแดงและขาว, หัวกลอย,หนอนตายยาก,
เมล็ดหรือใบสะเดา,ตะไคร้หอม,บอระเพ็ด,หัวข่าแก่,มะกรูดแก่,ใบยาสูบ,หัวว่านน้ำแก่,ใบยูคาลิปตัสแก่,ฝักคูนแก่,ต้นสบู่เลือด,โมลาส,หัวไพล,เหล้าขาว,หัวน้ำส้มสายชูและใบขี้เหล็กแก่
นำมาอย่างละ 2 กก.ผสมลงถัง 200 ลิตร ใส่น้ำลงไปพอท่วม ปิดด้วยพลาสติ
หมักไว้ 1 เดือน ทุกๆ 5 วันต้องคน 1 ครั้ง
เพื่อให้สมุนไพรเข้ากันกระทั่งเกิดจุลินทรีรย์มีฝ้าขาว
และมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว จากนั้นให้นำหัวเชื้อนี้ผสมน้ำ 100 ซี.ซี.
ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือตามสัดส่วนมากน้อยตามต้องการ
หรือสูตร ของ “นายสมพร โพธิ์แก้ว” เสนอสูตรสมุนไพร โดยนำเอาตะไคร้
2 ส่วน สะเอา 3 ส่วน ยาสูบ 1 ส่วน และข่า 2 ส่วน
ใช้ฉีดพ่นกำจัดศัตรูพืช 30 วัน ต่อ 1 ครั้ง
สูตรของคุณสุรัตว์ เขียวฉอ้อน เสนอสูตร สะเอา 2 ส่วน หางไหล 1 ส่วน
ยาสูบ 2 ส่วน ข่า 2 ส่วน คะไคร้หอม 2 ส่วน หนอนตายยาก 3 ส่วน
นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำ 10 ลิตร หมักไว้ 7
วันแล้สนำไปฉีดพ่อนประมาณ 20 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกวัน เป็นต้น
หลักสูตร 2 การปรับปรุงบำรุงดิน
โดยไม่ใช้สารเคมี
หลักสูตรนี้ ชาวนา จะได้เรียนรู้การไถหมักฟาง,
การใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายฟางข้าวในนา,
เรียนรู้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์, เรียนรู้ ทดลอง
และคิดค้นสูตรน้ำหมักต่างๆ เรียนรู้และทดลองวิธีต่างๆ
เพื่อคืนชีวิตให้แก่ดิน
และที่สำคัญกระบวนการนี้ได้สอดแทรกความเชื่อเข้าไปเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีในการพัฒนาดินโดยชีววิธี
เช่นฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อที่เคยมีให้กลับมา
โดยนำสัญญลักษณ์ของพระแม่ธรณีเป็นสิ่งแทนความมีชีวิตของดิน ว่า
หากดินแข็ง ดินไม่มีธาตุอาหาร ก็เท่ากับว่าเลี้ยงแม่ธรณีไม่ดี
ปล่อยให้แม่ธรณีอดอยาก แม่ธรณีตาย
ทำให้ไม่มีใครคุ้มครองช่วยเหลือแม่โพสพให้งอกงาม
กระบวนการเรียนรู้จริง
มูลนิธิข้าวขวัญนำนักเรียนชาวนา
ตั้งสมมติฐานต่อสภาพดินที่ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาในการใช้สายตาวิเคราะห์สภาพดิน
จากนั้น ก็เรียนรู้เชิงประจักษ์ โดยนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ให้ชาวบ้านทดสอบความเป็นกรด เป็นด่างของดิน แต่ละแปลงของสมาชิก
ซึ่งปรากฎว่า แม้ว่าดินในพื้นที่เดียวกัน ก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน
เมื่อทราบว่าดินของใครเป็นอย่างไร แล้ว
ก็นำเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงดินด้วยชีววิธีที่ต่างกันออกไปตามสภาพของดิน
โดยมูลนิธิข้าวขวัญได้พานักเรียนชาวนาไปเก็บเชื้อจุลินทรีย์จากป่าห้วยขาแข้ง
มาเพาะขยายเชื้อกับใบไผ่ และกากน้ำตาล
โดยในขั้นตอนนี้
นักเรียนชาวนาจะได้เรียนรู้จากแหล่งความรู้ภายนอก
จากกรณีที่มีนักวิชาการมาศึกษาดูงานการเพาะเชื้อจุลินทรีย์ของนักเรียนชาวนาหลังไปเก็บหัวเชื้อมาจากป่าห้วยขาแข้งและนำมาเพาะขยายพันธุ์ใช้กันในกลุ่มนักเรียน
ซึ่งทำให้นักวิชาการนำหัวเชื้อไปพิสูจน์ในห้องปฏิบัติการว่าเชื้อจุลินทรีย์ชนิดใดกันแน่ที่ทำให้เกิดการย่อยสลายได้รวดเร็วและไม่เป็นประโยชน์ต่อดินและพืช
ซึ่งปรากฎว่ามีสิ่งมีชีวิตซึ่งประกอบด้วย เชื้อรา Trichoderma spp.
Aspergillus sp. นอกจากนี้ยังพบแบคทีเรียซึ่งคาดว่าจะอยู่ในกลุ่มของ
Bacillus spp. และยีสต์ ซึ่งคาดว่าน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มของ Saccharom
ysis
spp.เรื่องราวเหล่านี้เองทำให้ชาวนาเกิดความมั่นใจและเกิดความภาคภูมิใจในฐานะนักวิทยาศาสตร์ในแปลงนา
ที่สำคัญชาวนาได้ร่วมกันฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีในการทำนา
ตามขั้นตอนกระบวนการทำนา ขึ้นมา อาทิ พิธีรับขวัญข้าว,
การลงแขกเกี่ยวข้าว, การบวงสรวงพระแม่โพสพ,
พิธีนำข้าวขึ้นยุ้งและพิธีไหว้แม่ธรณี เป็นต้น
ซึ่งกิจกรรมนี้ทำให้เกิดความรักความสามัคคีกันขึ้นในกลุ่มนักเรียนชาวนา
และชาวบ้านใกล้เคียงอีกด้วย
องค์ความรู้ที่เกิดขึ้น
1.เชื้อจุลินทรีย์ที่ดีจะมีกลิ่นหอม
2.บริเวณที่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีจะพบดินสีดำและซากพืชที่เปื่อยยุ่ย
รวดเร็ว,
3.กรรมวิธีการขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์
4.การรู้จักเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการย่อยสลายจากนักวิชาการ
5.ความเชื่อเรื่องวัฒนธรรมประเพณีโบราณ ได้รับการถ่ายทอดจากคนเฒ่า
คนแก่
หลักสูตรที่ 3
การพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับเกษตรยั่งยืน
ขั้นตอนนี้
ชาวนาจะร่วมกันระดมความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น
โดยจะเป็นการระดมความรู้เรื่องพันธุ์ข้าวของไทยที่ต้องการอนุรักษ์
ระดมความคิดเห็นเรื่องลักษณะพันธุ์ข้าวที่ดี
และคุณลักษณะข้าวที่ชาวนาต้องการบริโภค
ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนจากการซื้อเมล็ดพันธุ์จากพ่อค้า
และสามารถขยายพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ข้าวได้ตามความเหมาะสมกับพื้นที่และตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
กระบวนการที่เกิดขึ้นจริง
นักเรียนชาวนา ทั้ง
4 พื้นที่จะต้องเรียนรู้จากการปฎิบัติจริงในเรื่องการคัด
และผสมพันธุ์ข้าว โดยต้องถอนต้นข้าวจริงๆ มาเพื่อเรียนรู้
ลักษณะทางกายภาพของต้นข้าว ตั้งแต่ราก ถึงรวงข้าว
นั่งแกะเมล็ดข้าวกล้องเพื่อเรียนรู้ส่วนประกอบของเมล็ดข้าว เช่น
เกษรตัวผู้ เกษรตัวเมีย เรียนรู้ลักษณะเมล็ดพันธุ์ที่ดี สมบูรณ์ ,
ใช้แว่นขยายส่องข้าวกล้องเพื่อเรียนรู้กระบวนการคัดเลือกพันธุ์,
ลงไปยังแปลงทดลองเพื่อปฏิบัติการผสมพันธุ์
และเพาะพันธุ์ข้าวกล้องเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป
อีกภาพหนึ่งที่น่าชื่นชมคือ ชาวนาสูงวัย
มักจะพกพันธุ์ข้าวติดตระกล้าหมาก หรือกระเป๋ากางเกง ไปทุกๆ ที่
มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็นั่งคัดพันธุ์กันไป กินหมากกันไป
ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาไปวัดนั่งวิปัสสนากรรมฐาน เสร็จ
ก๊วนนักเรียนชาวนา ยังชวนสหายวัยเดียวกันที่มาถือศีล
ช่วยกันคัดพันธุ์อย่างขมักเขม้น ไม่หวั่นแม้เสียงรอบข้างจะเซ็งแซ่ว่า
“เสียเวลาเปล่า” และไม่เพียงชาวนาสูงวัยเท่านั้นที่นั่งคัดพันธุ์ข้าว
พวกเขายังเอาความรู้อันมีค่าควรสืบสานนี้ไปสอนลูกหลาน
ทำให้เห็นอีกภาพหนึ่งที่น่าประทับใจคือ เด็กน้อยวัยเรียนกับ
ผู้เฒ่าที่เคยไร้คุณค่า มะรุมมะตุ้มกับกองข้าวกล้อง
ช่วยกันคัดเท่าที่ทำได้ ถูกบ้างผิดบ้าง ก็สอนกันไปจนช่ำชอง
นอกจากนี้นักเรียนชาวนา ยังออกไปศึกษาดูงานกับชาวนาจังหวัดต่างๆ อาทิ
เครือข่ายชาวนา จ.พิจิตร ในเรื่อง
การคัดพันธุ์ข้าวและการขยายพันธุ์ข้าวโดยอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้าน
โดยการไปเรียนรู้ครั้งนี้มีการแบ่งกลุ่มกันไปรับผิดชอบงานในแต่ละประเด็น
แบ่งกันศึกษาหาความรู้ แล้วนำความรู้ที่ได้มาเล่าสู่กันฟัง เช่นในเรื่องชนิดของพันธุ์ข้าว , การคัดเลือกพันธุ์ข้าว, การศึกษาการรวมกลุ่มของสมาชิกชาวนา, ศึกษากิจกรรมเด่นๆ ของกลุ่มชาวนา ,ศึกษาการแปรรูปผลผลิตข้าว,ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันในการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักชีวภาพ ,ศึกษาความภาคภูมิใจของชาวนาจ.พิจิตร ซึ่งกิจกรรมนี้นอกจากจะเป็นการศึกษาดูงานเรื่องการคัด และผสมพันธุ์ข้าวแล้ว ชาวนายังได้ฝึกทักษะกระบวนการกลุ่ม และเกิดความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายกับชาวนาต่างพื้นที่อีกด้วย
องค์ความรู้ที่เกิดขึ้น
1.รู้ว่าข้าวที่ดี และสมบูรณ์ และควรนำมาทำพันธุ์ข้าว
มีลักษณะเป็นอย่างไร
2.การทำนาให้ได้ผลผลิตดี ไม่จำเป็นต้องหว่านข้าว
3.รู้ว่าการเพาะพันธุ์ข้าวจากข้าวกล้องก็สามารถทำได้
และดีกว่าข้าวเปลือก
4.เรียนรู้กระบวนการคัดพันธุ์ข้าว เพาะพันธุ์ข้าว
และผสมพันธุ์เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าว
5.ข้าว 1 เมล็ดสามารถเพาะเป็นต้นข้าวได้มากถึง 30-40 ต้น
กิจกรรมเพื่อนเยี่ยมเพื่อน
นอกจากนี้ระหว่างการเรียนแต่ละหลักสูตรการเรียนรู้
ชาวนาจะได้ร่วมกันทำกิจกรรม “เพื่อนเยี่ยมเพื่อน : ชุมชนชาวนา”
ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนชาวยาจากโรงเรียนชาวนาทั้ง 5
พื้นที่ 4 อำเภอ ได้มารวมกลุ่มทำกิจกรรมพร้อมทั้งใช้เวทีนี้ถ่ายทอด
เผยแพร่ผลงาน และเวทีดังกล่าวยังเป็นการสะท้อนเหตุการณ์จริง
และยังสามารถวัดความเข้าใจเรื่องการทำเกษตรกรรมยั่งยืนของนักเรียนชาวนาได้อีกทางหนึ่งด้วย
ผลแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักเรียนชาวนา
ส่งผลทำให้ศักดิ์ศรีของชาวนากลับคืนมาพร้อมกับรอยยิ้มอาบแก้มที่แทบหาไม่ได้เลยในหมู่ชาวนา
จ.สุพรรณบุรีกลับคืนมา ดังเช่นน้าสำรวย
หนึ่งในนักเรียนชาวนาที่กล้าทิ้งสารเคมีและปุ๋ยเคมีในการทำนา
หันมาทำนาในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ตามแนวทางของมูลนิธิข้าวขวัญ
ล่าสุดน้าสำรวยสร้างความตื่นตะลึงให้กับนักเรียนชาวนาด้วยกันและชาวนาบ้านใกล้เรือนเคียงเมื่อการทำนาบนเนื้อที่
17 ไร่ที่เดิมทีได้ข้าวเพียง 15 เกวียน
แต่ฤดูการทำนาที่ผ่านมาน้าสำรวยได้ทำลายสถิติชาวนาทั้งผองด้วยการทำนาบนเนื้อที่เท่าเดิมแต่ได้ข้าวมากถึง
22 เกวียน
ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความปิติอย่างแท้จริงได้เกิดขึ้นแล้วในหมู่นักเรียนชาวนา
จ.สุพรรณบุรี
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการจัดการความรู้เพื่อชาวนา
ซี่งอยู่ในหลักสูตรของนักเรียนชาวนา และนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้
ตลอดระยะเวลา 2 ปี
พบว่าการเปลี่ยนแปลงของชาวบ้านที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำการจัดการความรู้นั้น
มิใช่เปลี่ยนเฉพาะเลิกใช้สารเคมีเท่านั้น แต่เขาเปลี่ยนถึงวิธีคิด
จากการแข่งขันชิงดีชิงเด่นเป็นการเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่
จากการที่เอาเงินเป็นที่ตั้ง ก็เอาความสุข
และครอบครัวเป็นที่ตั้ง
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ
ที่อาศัยการจัดการความรู้ในรูปแบบโรงเรียนเกษตรกรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่วิธีการคิด
กระบวนทัศน์ และจิตสำนึก
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งวิถีชีวิต
และจิตวิญญาณปัจจุบันนักเรียนชาวนา จ.สุพรรณบุรี
กำลังมีความสุขอยู่กับการได้ย้อนกลับไปดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิม
ร่วมกันดำนา ร่วมกันร้องเพลงเกี่ยวข้าว ร่วมกันเรียนรู้
และในอนาคตพวกเขากำลังก้าวสู่การเป็น
“ครู”ชาวนาให้กับนักเรียนชาวนารุ่นต่อไป
เดชา
ศิริภัทร ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ
มูลนิธิข้าวขวัญ 13/1 ถ.เทศบาลท่าเสด็จ ต.สระแก้ว อ.เมือง
จ.สุพรรณบุรี
โทร.035-597193
ไม่มีความเห็น