จากกิจกรรมKM ของงานฝากครรภ์ พี่จีแกนของกลุ่มก็ได้นำประสบการณ์ของทุกคนมาเล่าโดยใช้ โมเดลต้นไม้ ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนในการที่จะรวมองค์ความรู้ทั้งหมดส่วนแรกก็คือ
1. รากเป็นส่วนของความคิดและความเชื่อของคนในการที่จะทำงาน
2. ลำต้นเป็นส่วนของเครื่องมือและบริบทในการทำงาน
3. ผลเป็นส่วนของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมา
ให้แต่ละคนถอดบทเรียนจากประสบการณ์จริงแล้วนำมาสกัดสังเคราะห์เป็นต้นไม้รวมต้นเดียวซึ่งนำมาสรุปผลการเรียนรู้เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน
ส่วนแรกคือส่วนของรากสรุปได้ว่า
1. หลายๆ ท่านจากที่ประชุมกลุ่มมีความเชื่อว่าการสอนผู้รับบริการในการนับลูกดิ้นนั้นมีความสำคัญเพราะจะได้เป็นตัวช่วยประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ป้องกันเด็กตายในครรภ์มารดาได้ ซึ่งข้อนี้ถือเป็นปัจจัยอันแรกในการที่จะช่วยให้เขาอยากจะปฏิบัติหน้าที่ในการทำงาน
1. หลายๆ ท่านเชื่อว่าการนับลูกดิ้นจะช่วยป้องกันเด็กตายในครรภ์มารดาและถ้าผู้รับบริการมีการรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ดีพอเจ้าหน้าที่สนในมีเวลาให้ผู้รับบริการเต็มที่ก็จะช่วยให้เขาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 28 สัปดาห์จนถึกคลอด
จากข้อข้างต้นจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่มีความเชื่อในสิ่งเหล่านี้ก่อนเขาถึกจะทำได้ถ้าเขาไม่เชื่อเขาก็จะเกิดความรู้สึกที่ไม่อยากจะทำซึ่งหลายๆท่านก็สรุปได้ว่า
1. อันแรกก็คือต้องมีความเชื่อว่า การนับลูกดิ้นสำคัญ
2. อันที่สองก็คือต้องมีความเชื่อว่า เด็กตายในครรภ์มารดาสามารถป้องกันได้
3. อันทีสามก็คือต้องมีความเชื้อว่า การที่ผู้รับบริการจะนับลูกดิ้นอย่างต่อเนื่องได้นั้นจะต้องมีความเข้าใจถึงประโยชน์ของการนับลูกดิ้นและมีแรงจูงใจเขาถึงจะปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
1. การสอนนับลูกดิ้นนั้นน่าจะเป็นการสอนแบบบูรณาการ คือเริ่มตั้งแต่โรงเรียนพ่อแม่ ห้องฝากครรภ์ ห้องคลอดและหลังคลอด เพื่อจะได้เป็นตัวกระตุ้นให้มารดาได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
2. เมื่อมีการทำงานเป็นทีมโดยสอนในแต่ละจุดบริการทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งจากการเรียนรู้ในเท่าๆ กันในแต่ละจุดทำให้คนทำงานมีความสุขเกิดสัมพันธภาพที่ดี
3. ผู้รับบริการได้รับการเน้นในเรื่องการสอนการนับลูกดิ้นมากขึ้นจึงเห็นความสำคัญทำให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมองภาพโดยรวม ผลจากการทำงานตรงนี้จากกระบวนการทั้งหลายที่เล่ามาทำให้เขาเกิดการเรียนรู้จากการพัฒนางาน คือทุกๆด คน ในหน่วยงานต้องการทำงานอย่างมีความสุขในหน่วยงาน
1. การที่มีหลายๆ คนร่วมมือกัน ( อาจจะรวมถึงครอบครัวของผู้รับบริการ ) มีแนวทางการสอนแบบเดียวกัน ก็จะเป็นตัวที่ช่วยสนับสนุ่นให้การสอนการนับลูกดิ้นดีขึ้น
2. ปัจจัยที่เป็นอุปครรภ์ในการสอนนับลูกดิ้นก็คือ ภาระงานที่หนักมากขึ้นทำให้ไม่มีเวลาให้กับผู้รับบริการมากเท่าที่ควร
3. ปัจจัยที่ผู้รับบริการและครอบครัวไม่เห็นความสำคัญทำให้ขาดความต่อเนื่องในการนับลูกดิ้น
จากที่ประชุมกลุ่มให้มีการถอดบทเรียนหลายๆ ท่านก็บอกว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ดีขึ้นก็จะช่วยให้งานการสอนการนับลูกดิ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและงานก็สำเร็จมากขึ้นด้วย
ข้อมูลจาก..คุณจริยาและทีมงานฝากครรภ์ค่ะ
"เป็นว่าตอนนี้ก็ทดลองใช้กันแล้วนะคะ ได้แนวทางการสอนร่วมกันแล้ว ทั้งANC,โรงเรียนพ่อแม่แล้วก็ห้องคลอด ตั้งแต่มค.51-ปัจจุบันกค.51 ยังไม่พบDFU เลยคะ แล้วหวังว่าไม่พบอีกตลอดไป ไชโย!! "
อยากให้เพิ่มที่มาอีกนิด ในเรื่องของ วิธีการนับลูกดิ้นนะค่ะว่าที่รพ.เราใช้วิธีไหน
เพราะมีหลายวิธีและวิธีที่เราเลือกนั้นมันง่ายและดีอย่างไร
เห็นว่ามีนวตกรรมที่รร.พ่อแม่ด้วยนี่นาที่เราสร้างความตระหนัก(ไม่ใช่ความกลัว)ให้แม่