JUNO ถูกโฆษณาว่าเป็นหนังเล็กๆ ที่ประสบความสำเร็จคือ ทำเงินเป็นอันดับหนึ่งในการเปิดฉายสัปดาห์แรกที่อเมริกาและอังกฤษ ทำรายได้สูงจากการฉายทั่วโลก ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ปี ๒๐๐๗ และอีก ๒๕ รางวัลจากนักวิจารณ์ทั่วโลก
นักวิจารณ์ไทยคนหนึ่งให้นิยามหนังเรื่องนี้ว่า “ปรบมือให้ความกล้า” อ่านเพียงแค่นี้ใครๆ ก็อยากเข้าไปดู
ไปดูหนังเรื่องนี้เพราะอยากเห็นบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพราะเป็นหนังเกี่ยวกับ “วัยรุ่นที่ตั้งท้องโดยไม่ตั้งใจ” เพื่อเป็นต้นทุนความคิดสำหรับการทำงานเพศศึกษาในโรงเรียน
หนังเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย บทรัดกุม เรื่องของเด็กหญิงมัธยมชื่อจูโน่ ตั้งท้องกับเพื่อนชายโรงเรียนเดียวกัน แทนที่จะเลือกทางออกโดยการทำแท้ง (ซึ่งนักวิจารณ์ไทยเรียกว่า “ความกล้า”) จูโน่เลือกที่จะหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้ลูกของเธอ เมื่อเลือกได้แล้ว จูโน่กับพ่อและแม่เลี้ยงไปทำความรู้จักสามีภรรยาฐานะดีที่จะรับเป็นพ่อแม่ของลูกในท้อง ความสัมพันธ์ดูราบรื่นกระทั่งวันหนึ่งคู่สามีภรรยาคู่นี้มีอันต้องเลิกร้างกัน ผู้เป็นภรรยายังยืนยันที่จะรับเด็กในท้องจูโน่ไปเลี้ยงดูเพียงลำพัง จูโน่ผิดหวังและเสียใจมากเพราะต้องการให้ลูกของเธอเติบโตในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ แต่สุดท้ายจริงๆ จูโน่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก หลังคลอดเธอยินยอมยกลูกให้แก่ครอบครัวนี้ซึ่งจะมีแม่เลี้ยงดูเพียงลำพัง หนังจบลงที่จูโน่กลับไปสานความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มผู้ที่ทำให้เธอท้อง ซึ่งเธอคิดว่าเขารักเธอ และเธอรักเขา (หลังจากที่เธอจัดการกับลูกที่เกิดมาโดยไม่ตั้งใจเพียงลำพังได้แล้ว ขณะที่เด็กชายผู้เป็นพ่อไม่ต้องมีส่วนร่วมใดๆ ในการแก้ปัญหานี้)
คำถามที่เกิดขึ้นเมื่อดูหนังจบคือ “หนังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก และคู่ควรกับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจากเวทีประกวดระดับออสการ์เชียวหรือ”
เมื่อได้อ่านคำโปรยของหนัง “A comedy about growing up…and the bumps along the way.” ก็พยายามเข้าใจว่า นี่เป็นหนังที่ผู้กำกับต้องการให้เป็นหนังตลก ผู้ชมมิควรใส่ใจต่อเนื้อหาสาระมากนัก?
พอการนำเสนอไม่ได้เป็นหนังตลกเต็มตัว มันกึ่งๆ ตลก กึ่งจริงจังแบบหนังดราม่า มันจึงเหมือนกับคุณอ่านการ์ตูนล้อการเมืองที่ด่านักการเมืองได้เต็มปากเต็มคำโดยคนเขียนไม่ถูกฟ้อง กับ คุณอ่านบทความการเมืองที่สาระเดียวกันแต่อาจถูกฟ้องได้ ทำนองเดียวกัน
ไปดูหนังเมื่อปลายพฤษภา ทั้งโรงมีแต่วัยรุ่นเข้าไปเป็นคู่ หลังจากนั้นอีก ๑ เดือนเราไปดูอีกเรื่องหนึ่ง JUNO ยังคงฉายอยู่ และมีวัยรุ่นเข้าไปดูเป็นคู่เช่นเดิม
หนังมีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของคนดู มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ต้นทุนความคิดของผู้ชม ความสามารถของผู้กำกับ และคนเขียนบท หนังจะทำหน้าที่ ๔ ประการ คือ เล่าเรื่อง จูงใจ เร้าใจ และบันเทิง ส่วนการจะจูงใจ (Motivation) คนดูไปทางไหน เป็นความรับผิดชอบของผู้กำกับล้วนๆ
หนังที่ดีในทรรศนะของฉันคือหนังที่ไม่ยัดเยียดความคิดความเชื่ออย่างหนึ่งอย่างใด ไม่สอนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ต้องใช้ศิลปะทั้งมวลของการทำหนังเพื่อให้หนังทำหน้าที่ ๔ ประการอย่างแนบเนียน
หนังเรื่องJUNO ไม่สอน ไม่ยัดเยียด แต่สิ่งที่เสนอคือ การตั้งครรภ์ของวัยรุ่นที่ไม่พร้อมเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคมโรงเรียน จูโน่จึงสามารถเดินอุ้มท้องโย้ไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ โดยไม่รู้สึกแปลกแยก เด็กชายผู้เป็น “พ่อ” ไม่ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบใดๆ ต่อเหตุการณ์นี้ การแก้ปัญหานั้นง่ายดายเพียงแค่ไปหาครอบครัวอุปถัมภ์มารับผิดชอบเด็กที่เกิดมาแทน แล้วจูโน่ก็กลับมาเรียนต่อ มาคบหากับเพื่อนชายคนเดิมได้เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างง่ายดายและมีทางออกราวกับเทพนิยาย ถามว่าชีวิตจริงๆ เป็นแบบนี้หรือ ต่อให้ในสังคมอเมริกันก็เถอะ
หากดูโดยไม่ไตร่ตรองย่อมเป็นอันตรายแน่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่มองโลกสวยงาม และอ่อนประสบการณ์
สังคมอเมริกันที่เคยมีค่านิยมเพศเสรีจนสุดขั้วมาแล้ว และเริ่มหันหลังกลับมารณรงค์ให้เด็กๆ ชายหญิงเห็นคุณค่าของการรักนวลสงวนตัว ตระหนักในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่รับผิดชอบ แต่บ้านเรากำลังเดินสวนทาง เด็กหญิงชายเริ่มเปิดเผยเนื้อตัวกันมากขึ้น มีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดกันมากขึ้น ก่อปัญหาตามมามากมาย ด้วยอิทธิพลของสื่อและวัฒนธรรมตะวันตก เราจะรับมือกับปัญหานี้กันอย่างไร
โจทย์นี้อยู่กับฉันหลายวัน ในที่สุดเกิดความคิดว่า ในเมื่อ วัยรุ่นชอบดูหนัง หนังมีอิทธิพล และสามารถจูงใจคนดูได้ หากเราเอาหนังบางเรื่องไปฉายให้เด็กดูในโรงเรียน แล้วใช้กระบวนการเรียนการสอนทักษะชีวิตกำกับ เราน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าปล่อยให้เด็กๆ ดูหนังตามลำพังโดยไม่มีกระบวนการกล่อมเกลาไปในทางที่เป็นคุณกับพวกเขา ไม่เพียงแต่สอนเพศศึกษา แต่ถ้าเรารู้จักเลือก หนังจะเป็นสื่อการสอนชั้นเยี่ยม
คำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการดูหนัง เช่น
“ ถ้าเป็นนักเรียนมัธยมในบ้านเรา เจอเหตุการณ์แบบจูโน่ จะมีทางออกแบบไหนให้เธอบ้าง”
“ในบริบทของสังคมไทย เราจะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไร”
“เราจะมีคำแนะนำอย่างไรให้แก่เด็กผู้หญิงที่เจอเหตุการณ์อย่างจูโน่”
คำถามทุกคำถาม เด็กๆ จะคิดหาคำตอบกันเอง เพื่อให้ได้ข้อสรุปและทางออกที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย โดยที่ผู้ใหญ่ไม่ต้องสอน ไม่ต้องยัดเยียด เด็กๆ จะได้คำตอบว่าชีวิตจริงไม่เหมือนในหนังที่ทุกอย่างจบอย่างสวยหรู
หลายๆ ประเทศในยุโรป ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อการสอน ในบ้านเรา มีการฉายหนังในโรงเรียน แต่เป็นการดูเพื่อความบันเทิง เรายังไม่ได้ใช้หนังเป็นสื่อการสอนอย่างจริงจัง
หนังเรื่อง American Pie เคยฉายในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้าใจว่าครูเองคงไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ เพราะถ้ารู้จะไม่มีวันยอมให้ฉาย
ต่างประเทศมีการแบ่งเรทหนัง แต่บ้านเรายังไม่มี และคงอีกนานกว่าจะมี เด็กๆ จึงมีเสรีภาพที่จะเข้าไปดูหนังอะไรก็ได้ ไปหาหนังอะไรก็ได้มาดูกันในบ้านเพื่อนคนไหนสักคนที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน
แทนที่เราจะปล่อยให้เด็กเลือกดูหนังกันเอง และดูกันตามลำพัง เราเอาหนังที่วัยรุ่นชอบไปฉายให้ดูเสียเลย แต่เป็นการดูหนังที่เราสามารถหยิบฉวยประโยชน์อีกด้านของมัน น่าจะดีกว่า.
๒๕ มิ.ย.๒๕๕๑
สวัสดีค่ะคุณ nui
หนังเรื่อง American Pie เคยดูค่ะ แบบนี้ต้องรีบไปดู JUNO แล้วนะคะ
ขอบคุณค่ะ
อ่านแล้ว รู้สึกดีจังครับ
เขียนแบบมืออาชีพ
เขียนแบบผู้ใหญ่เข้าใจเด็ก
ได้อีกแง่มุมหนึ่ง
ดีใจค่ะที่คุณekkyรู้สึกเช่นนั้น ดิฉันฝันที่จะเห็นโรงเรียนสอนเพศศึกษาแก่เด็กๆ แบบนั้นจริงๆ ถ้าคุณเป็นครู ลองเอาไปสอนด้วยนะคะ