....กระท่อมหลังเล็กๆที่ปลูกอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ...ไร้ซึ่งความสำคัญของคนทั่วไปในชุมชน...ยากยิ่งที่จะเข้าใจในความคิดของผู้ที่เป็นเจ้าของ ...ท่ามกลางการไหลบ่าบวกแรงเหวี่ยงที่รุนแรง สลับซับซ้อนแห่งกระแสโลกาภิวัตน์..ส่งผลให้สังคมชนบทมึนงง..สับสน...ไม่เข้าใจตนเองและไม่เข้าใจผู้อื่น..ไม่มีใครปฏิเสธ...ทุกคนกลายเป็นฟันเฟืองของกระแสโลกที่เต็มไปด้วยบริโภคนิยม...มันยากยิ่งที่จะดิ้นหลุดจากแรงเหวี่ยงของสังคมได้....ถึงเวลาหรือยัง??
...โจทย์ชีวิตยิ่งใหญ่มากที่เราต้องหาคำตอบ??? การก้าวเดินบนเส้นทางชีวิตในวันนี้..ไม่ง่ายนัก...ถ้าเราไม่ถอดบทเรียนและทำความเข้าใจ? กาลเวลา..ได้เปลี่ยนผ่าน..สำหรับคนที่มีสติเท่านั้น...บัดนี้..สิ่งที่เราฝันที่จะเป็นเสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย?? มันจบลงแล้ว...?? มันจบลงพร้อมคราบน้ำตาของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ปลูกกระท่อมอยู่อย่างสันโดษแห่งบ้านสวนไร่นา?? วันนี้เขาได้ถอดเนกไทและสูทสีเข้มตัวเก่งแขวนไว้ข้างฝาพร้อมใบแห่งเกียรติยศ..ปริญญามหาบัณฑิต...ค่ำคืนก่อนหลับเขาได้เพ่งมองๆและก็หลับด้วยความขมขื่น...มีใครบ้างที่จะเข้าใจในความรู้สึกลึกๆจากใจเขาบ้าง?? นอกจากภรรยาที่พร้อมจะก้าวเดินไปกับเขาในทุกหนแห่งที่มีเขาและเธอ...กำลังใจที่เต็มเปี่ยมที่ทั้งสองมีให้กัน...เป็นพลังบวกมหาศาล...เป็นแรงผลักที่มีคุณค่า....หลังการต่อสู้กับชีวิตที่โหดร้ายในการเป็นนักธุรกิจหลังจากจบการศึกษามหาบัณฑิตของทั้งคู่?? วันนี้..เขายอมรับและท้าทาย...เขาทวนกระแส..กลับบ้านเกิดด้วยหัวใจมุ่งมั่น..จะพลิกผันชีวิตสู่รากเหง้าของบรรพชน...น้อมนำกระแสพระราชดำรัสแห่งพ่อหลวงเป็นปรัชญาดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายและพอเพียง...เริ่มต้นค้นหาความจริงแห่งชีวิต...โดยใช้ทุนทางสังคมเป็นฐาน...แสวงหาพลังร่วมและเครือข่ายภูมิปัญญาในท้องถิ่นที่หลากหลาย...ความสุขใจที่หาได้ไม่ยากนักจากความจริงใจที่มีให้..มีโอกาสร่วมคิด ร่วมแลกเปลี่ยน ร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน นำมาซึ่งความรักความเข้าใจ ติดต่อประสาน..ไปมาหาสู่คนแล้วคนเล่า??? บ้านสวนไร่นา...ไม่เหงา...ไม่เดียวดาย..ไม่แล้งน้ำใจสำหรับเพื่อนที่แวะเยี่ยมพูดคุย....กระท่อมหลังเล็กๆ..วันนี้เป็นทั้งบ้าน เป็นทั้งสวน เป็นทั้งนาและไร่ อยู่ในพื้นที่เล็กๆ 15 ไร่ ที่ปลูกไม้หลากหลายสายพันธุ์...เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศน์วิทยา เป็นศูนย์เรียนรู้ชีวิตของทุกอาชีพ...มีคนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า...ได้แนวคิดแบบนี้มาจากไหน...บางครั้งคำตอบมันบอกไม่ได้หรอก...นอกจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากใจ...การหาหนทางเอาตัวรอดเป็นสิ่งที่มีในทุกๆชีวิต...แต่การเอาตัวรอดโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น..และมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม...เป็นทางรอดและทางเลือกที่ถูกต้องมิใช่หรือ?? เกษตรทฤษฎีใหม่..แนวทางที่พ่อหลวงพรำบ่นให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่..ได้นำปรัชญาเป็นหลักคิดสู่การปฏิบัติเมื่อปี 2537 มีใครบ้างที่เข้าใจอย่างลึกซื้ง..และนำสู่การปฏิบัติจริงบ้าง?? มิใช่เป็นเพียงโจทย์ที่ไม่มีคำตอบ?? แต่จำเป็นต้องหาคำตอบอย่างเร่งด่วนในทุกภาคส่วนของสังคมด้วยซ้ำ?...ไม่ใช่สิ่งที่รอ..และรอให้กับคนที่เจ็บปวด...จนหาทางออกไม่ได้...หมดหวังกับชีวิต...ในกระแสของเศรษฐกิจปัจจุบัน..จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้มาก...เรา..ปล่อยให้ชุมชนเงียบเหงา วังเวง..ไร้ความหวัง...การเมืองได้ทำลายวัฒนธรรมชุมชน...รวมถึงวิถีชีวิตของชุมชนมามากพอแล้ว...เรา..ยิ่งดิ้น..ยิ้งรัดแน่นมากขึ้น..."วันนี้คนในสังคมน้ำท่วมถึงปากแล้วน่ะ เหลือเพียงจมูกไว้หายใจเอามลพิษเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น" วันนี้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยเหล่ามหาบัณฑิตทั้งนั้น..แต่เรากลับโหยหา..คนที่มีจิตอาสา..มันยากยิ่งนัก?...ขอเถิดเพื่อนพ้องทั้งหลาย..กลับมาเหลียวมองคนในชนบทกันบ้าง..เขาต้องการคนนำ...เขาต้องการคนกล้า...เขาต้องการคนที่จริงใจ...เขาต้องการมิตรแท้...เขาต้องการคนที่เข้าใจ...เห็นความสำคัญและคุณค่าในตัวเขา?..เขาต้องการเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน....เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ไล่ล่าในวันหน้า....อย่าบีบบังคับเขาเลย??...วันที่เปลี่ยนผ่านแห่งกาลเวลา...บ้านสวนไร่นา..ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน...เรารู้..เราเห็นเส้นทางแห่งความสุขที่ยั่งยืน...เราปลูกทุกอย่างที่เราอยากกิน..เราใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่างที่เราปลูก...ทุกอย่างอยู่ด้วยกันแบบพึ่งพา...เอื้อเฟื้อแบ่งปัน...พึ่งพาตนเองและพึ่งพาซึ่งและกัน..แล้วชีวิตนี้ยังต้องการสิ่งใดที่มากกว่านี้อีกเล่า???
สวัสดีคะ
ขอบคุณครับ...คุณก้ามปู? ที่แวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจ...แลกเปลี่ยนวิธีคิด..เพื่อการพัฒนา..และสันติสุขของสังคมโดยรวมครับ??