วันนี้ขอสรุปการบันทึกวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ น่ะครับ
พยายามมาเรียบเรียงที่จดบันทึกให้ประติดประต่อเป็นเรื่องเป็นราวให้ชัดเจนขึ้น ในขณะที่วิชาอื่นก็ผ่านไปเรื่อย ๆ งานต่าง ๆ ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เวลาเหมือนจะมีนิดเดียวจริง ๆ ครับ ...เพื่อน ๆ รุ่น ๕๑ ทุกคนก็คงมีภาวะคล้าย ๆ กันใช่ไหม ...สู้ต่อไปน่ะครับ....
วันนี้ขอสรุปตามหัวข้อสำคัญที่ท่านอาจารย์บรรยาย เป็นเรื่อง ๆ ไปน่ะครับ
ขอบเขตบังคับของกฎหมาย
๑.ขอบเขตในแง่ของเวลา
-กำหนดบังคับใช้เมื่อใดย่อมมีผลเมื่อนั้น
-หลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษ
-มีผลยกเลิกกฎหมายเก่าที่ขัดกับกฎหมายใหม่
๒.ขอบเขตในแง่บุคคล
หลักกฎหมายขัดกัน (กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล)
-กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ประเทศประมุขรัฐต่างประเทศหรือผู้แทนการทูต
๓.ขอบเขตในแง่ดินแดน
-กฎหมายของรัฐใดย่อมบังคับใช้แต่ในดินแดนของรัฐนั้น
คำอธิบายประกอบ
๑. เรื่องขอบเขตในแง่ของเวลา
กรณีตัวอย่างเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังนั้น เป็นที่ทราบกันว่าเป็นเรื่องของกฎหมายอาญา แต่เคยมีบางกรณีที่เป็นข้อถกเถียงกันในสังคมว่าเป็นโทษทางอาญาหรือไม่ เช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาว่าการตัดสิทธิ์กรรมการพรรคการเมือง ๑๑๑ คน ซึ่งศาลลงความเห็นว่าไม่ใช่โทษทางอาญา จึงพิพากษาให้มีผลย้อนหลังได้
หลักกฎหมายที่ว่าไม่มีผลย้อนหลังนั้น จำกัดเฉพาะโทษทางอาญาหรือโทษอย่างอื่นด้วย ? จึงเป็นเรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงกันมานาน ในอดีต ประธานศาลฎีกา(สมัยเหตุการณ์ ๑๙ ตุลา ถ้าผู้บันทึกฟังไม่ผิดน่ะครับ) เคยพิจารณาว่า โทษทางอาญาไม่สามารถมีผลย้อนหลังได้ แต่ถ้าเป็นการบัญญัติแก้ไขวิธีพิจารณาความให้บัญญัติย้อนหลังได้
เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน แต่ตามความเห็นของอาจารย์ เห็นว่า การบัญญัติกฎหมายให้มีผลย้อนหลังไม่สามารถกระทำได้ ยกเว้นกฎหมายอาญา เพราะมีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อรักษาความเชื่อถือของสาธารณชนในการเคารพนับถือกฎหมาย แต่ถ้ามีเหตุผลหนักแน่น พอเพียง ไม่ว่าจะเป็นโทษทางอาญาหรืออื่น ๆ มันสามารถทำได้ ถ้าอธิบายได้ แต่เป็นเรื่องที่มีได้น้อยมาก
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การบัญญัติกฎหมายให้มีผลย้อนหลังในแง่ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิทธิอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เป็นการจำกัดเสรีภาพในทางชีวิต ร่างกาย สามารถทำได้ (แต่นักวิชาการส่วนมากยังไม่เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง )
กรณีที่กฎหมายใหม่ย่อมยกเลิกกฎหมายเก่านั้น มีเหตุผลคือ กฎหมายนั้นต้องมีหลักเอกภาพ จะยอมให้บทกฎหมายสองบทที่ขัดกันมีผลบังคับในขณะเดียวกันไม่ได้ นักกฎหมายจะต้องชี้ชัดว่าเมื่อขัดกันจะใช้อย่างไหนกันแน่ (ยังมีปัญหาให้พิจารณากันต่ออีก)
๒.เรื่องขอบเขตในแง่ของตัวบุคคลและดินแดน
กฎหมายของประเทศใด ก็ใช้กับคนในบังคับของประเทศนั้น หลักนี้ก็จะใช้ควบคู่ไปกับหลักดินแดน กล่าวคือ กฎหมายของรัฐใดก็ย่อมใช้บังคับครอบคลุมถึงดินแดนของรัฐนั้น และใช้บังคับถึงบุคคลที่ถือสัญชาตินั้นและคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้นด้วย แต่บางกรณีกฎหมายอาจบังคับไปถึงบุคคลของรัฐนั้นที่อยู่ในรัฐอื่นด้วย เช่น กฎหมายอาญา ถ้าคนไทยทำผิดนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการทำผิดในราชอาณาจักรและต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย เช่น ทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นต้น
กรณีที่รถทูตทั้งหลายมาจอดในที่ห้ามจอด ตำรวจไทยไม่สามารถจับได้หรือเอกอัครราชทูตฆ่าคนตายในประเทศไทยก็ไม่สามารถเอาผิดได้ ทำได้อย่างเดียวคือเรียกร้องให้ประเทศของเขาถอดถอนทูตนั้นได้ ถ้าการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายในประเทศของเขา เอกชนในไทยผู้เสียหายสามารถร้องขอให้ศาลในประเทศนั้นเอาผิดได้ หรือกรณีที่ยังไม่ขาดอายุความตามกฎหมายไทย เมื่อบุคคลนั้นเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยที่ไม่มีสถานะทูตดังเดิมแล้ว อย่างนี้สามารถที่จะเอาผิดทางกฎหมายไทยได้
กรณีเรื่องประมุขแห่งรัฐ ถ้าประมุขแห่งรัฐซึ่งพ้นจากฐานะเดิมแล้ว เช่น กรณีของปิโนเช่ (เผด็จการในชิลี) ตอนที่เดินทางไปประเทศอังกฤษ ญาติของผู้ตายในซิลีมาฟ้องร้องเอาผิดเขาขณะที่มาในอังกฤษ ศาลอังกฤษตัดสินว่าไม่มีภูมิคุ้มกันแล้ว แต่มีผู้ไปร้องว่าภรรยาของศาลเป็นพวกเอ็นจีโอและมีส่วนคัดค้านปิโนเช่มาตลอด จึงทำให้มองว่ามีส่วนได้เสียในการตัดสินเรื่องนี้ จึงทำให้ปิโนเช่หลุดพ้นจากการดำเนินคดีและกลับไปสู่ประเทศของตน กรณีอย่างนี้เป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ (ในที่สุดชิลีก็มีการดำเนินคดีกับปิโนเช่ แต่ในระหว่างที่ดำเนินคดีเขาก็ตายไปพอดี)
นอกจากกรณีทีประมุขแห่งรัฐและนักการทูตที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว ก็ยังมีในกฎหมายแพ่ง ในประเด็นว่า กฎหมายประเทศใดจะใช้บังคับกับคนในประเทศนั้น เช่น คนไทยมีภรรยาเป็นคนอังกฤษและมีลูกที่นั้น จากนั้นเขาไปปากีสถานก็ไปสร้างบ้านไว้ที่นั้น ปรากฎว่ามาเที่ยวเมืองไทย ตาย กรณีนี้ มรดกจะตกทอดตามกฎหมายไทย อังกฤษหรือปากีสถาน เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาถูกเถียงได้ว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใด
กรณีมรดกของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะตกทอดไปถึงทายาท ให้เป็นไปตามของกฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลที่ถึงแก่ความตาย จึงต้องดูว่าคนไทยคนนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ซึ่งตามข้อเท็จจริงเขามีลูกเมียในอังกฤษเพราะฉะนั้นต้องใช้กฎหมายของอังกฤษ แต่กรณีที่มีอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่อื่น มรดกนั้นก็ต้องใช้กฎหมายในประเทศที่อสังหาริมทรัพย์ของเขาอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องละเมิดให้ใช้กฎหมายของถิ่นที่ละเมิด คือ ละเมิดในประเทศใด ให้ใช้กฎหมายของประเทศนั้น (เหล่านี้จะได้เรียนในปีที่ ๔ เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลน่ะครับ)
ขอบเขตบังคับในแง่ของเวลานั้น
- กฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า (มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน)
ก) ที่มีบัญญัติไว้แล้วในประมวลกฎหมาย
ข)...................(ตอนนี้จะกลับมาสรุปอีกทีน่ะครับ เนื้อหาที่บันทึกขาดตอนไป ไม่รู้ตอนนั้นหลับไปหรือเปล่า เดี๋ยวจะตามไฟล์เสียงและสรุปเพิ่มน่ะครับ)
ที่ว่ากฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่านี้ หมายถึง ยกเลิกกฎหมายประเภทเดียวกัน
-ถ้ากฎหมายใหม่เป็นกฎหมายเฉพาะ กฎหมายใหม่มีผลเพียงเป็นข้อยกเว้นกฎหมายเก่าที่เป็นบททั่วไป แต่ไม่มีผลเป็นการยกเลิกกฎหมายเก่า เพราะโดยปกติย่อมไม่ขัดกัน เว้นแต่จะได้ความว่าขัดกันโดยตรงจึงจะมีผลเป็นการยกเลิกกฎหมายเก่า ตัวอย่างเช่น กรณีมีการตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินอัตรา มาตรา ๖๕๔ ย่อมไม่เป็นการเลิกประมวลกฎหมายส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้
-ถ้ากฎหมายใหม่เป็นกฎหมายทั่วไป ก็ไม่ยกเลิกกฎหมายเก่าที่เป็นกฎหมายเฉพาะด้วย เช่น กฎหมายมรดก ไม่ยกเลิกพระบรมราชโองการเกี่ยวกับการตกทอดแห่งมรดกเฉพาะราย
(พระบรมราชโองการเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่อง กฎหมายมรดกจึงไม่มีผลยกเลิกพระบรมราชโองการ )
(ที่ดินที่พระราชทาน ไม่สามารถเอาไปจำหน่ายได้ เพราะเป็นไปตามพระราชโองการ แต่ถ้าจะยกเลิกก็ต้องออกกฎหมายยกเลิกพระบรมราชโองการเป็นเรื่อง ๆ ไป จะเห็นได้ว่า กฎหมายต่างประเภทจะยกเลิกกันไม่ได้)
ตัวอย่างปัญหาเรื่องหลักฐานเป็นหนังสือ ฎี.๓๓๖/๗๔
ค้ำประกันตามกฎหมายเก่าระบุให้ทำเป็นหนังสือ แต่ตามประมวลกฎหมายฉบับ พ.ศ.๒๔๖๗ ไม่ได้กำหนดอย่างนั้น
แต่ต่อมาเมื่อประกาศใช้บรรพ ๓ (พ.ศ.๒๔๗๒) มาตรา ๖๘๐ วรรค ๒ กำหนดให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ มิฉะนั้นฟ้องร้องบังคับเป็นคดีมิได้
ปัญหามีว่า สัญญาค้ำประกันตามกฎหมายเก่า (๒๔๖๗-๒๔๗๒) ซึ่งมิได้ทำเป็นหนังสือ จะบังคับตามกฎหมายใหม่ได้หรือไม่เพียงใด?
ดังนี้ ศาลฎีกาตัดสินว่า กฎหมายเก่าเรื่องค้ำประกันเป็นอันยกเลิกทั้งลักษณะ ดังนั้นระหว่าง ๒๔๖๗-๒๔๗๒ หากมิได้ทำเป็นหนังสือก็บังคับได้ (ต่อมา ม.๖๘๐ ว.๒ ปพพ.๒๔๗๒ กำหนดให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ)
ฎีกา ๑๐๕๐/๒๕๑๒
การที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยเป็นข้าวเปลือกในอัตราที่เป็นทำนองว่า เป็นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ.๑๒๓๙ ซึ่งผู้พอพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งว่าเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ.๑๒๓๙ได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้รวบรวมข้อบัญญัติต่าง ๆ ในทางแพ่งทั้งหมดขึ้นใช้บังคับตาม.....(ฟังไม่ทันครับ อีกตอนที่ขอกลับไปฟังอีกทีแล้วจะมาสรุปเพิ่มครับ)
ไม่มีความเห็น