ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าศึกษาเพิ่มเติมความรู้ทางกฎหมายในโครงการนิติศาสตร์ภาค บัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2551 นี้ โดยเรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงเวลา 17.30 ถึง 20.30 น. (เป็นโครงการที่เปิดให้คนทำงานที่จบปริญญาตรีแล้วเข้าเรียนครับ/แต่ละปีรับจำนวนประมาณ 500 คน แต่ข่าวว่าจบประมาณ 30 % ต่อปีเท่านั้น...หวังว่าเราจะอยู่ในจำนวนที่จบด้วยน๊า...ลงสนามแล้วก็ต้องสู้กันต่อไป)
.................วันนี้ เป็นวันแรกของการเข้าเรียนในวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป โดยมีท่านอาจารย์ ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ เป็นผู้สอน ท่านสอนได้น่าสนใจมาก มีการยกตัวอย่างประกอบการอธิบายเรื่องกฎหมายที่ชัดเจน ชวนสนใจและติดตามตลอด (3 ชั่วโมงเลยเป็นเหมือนฟ้าแลบ...เร็วมาก เพลินด้วย)
.................กลับถึงบ้าน...หยิบสมุดบันทึกมาอ่านทบทวนดู เลยเกิดไอเดียว่า....น่าจะคัดเอาสาระสำคัญของการเรียนแต่ละวันมาเล่าขานบนกระดาน G2K เผื่อว่า...1) จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับท่านผู้สนใจทั้งหลาย 2) เปิดประเด็นที่ชวนกังขาให้ผู้รู้ช่วยชี้แนะ และ 3)เก็บเป็นบันทึกไว้ได้ทบทวนความรู้ของตนเอง....จึงตัดสินใจตั้งบล๊อคนี้ขึ้นมาเพื่อการนี้....น่ะครับ...
.................เริ่มเลยน่ะครับ...สาระสำคัญที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ เป็นเรื่องวิธีการศึกษาและความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย โดยมีบางประเด็นที่น่าสนใจซึ่งท่านอาจารย์ได้ตั้งเป็นคำถามให้ช่วยกันแสวงหาคำตอบ อาทิ ว่า....
.................กฎหมายสัมผัสจับต้องได้หรือไม่ ? คำตอบคือ ที่แท้แล้วกฎหมายสัมผัสจับต้องไม่ได้ เป็นนามธรรม แต่ที่เราได้เห็น ได้พบ ได้อ่านกันนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของกฎหมายเท่านั้น ซึ่งบางทีเราอาจจะเรียกว่าตัวบทกฎหมายหรือกฎหมายต่าง ๆ ดุจดังใบหน้าของเรา ที่แท้จริงเราไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเราได้เลย สิ่งที่เรามองเห็นเป็นใบหน้าไม่ว่าในรูปถ่ายหรือกระจก ล้วนเป็นภาพสะท้อนซึ่งในความเป็นจริงมันต้องตีความ ต้องมองกลับ เพราะมันไม่ใช่ของจริง และภาพสะท้อนเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับกระจกที่นูน ที่เว้าต่างกัน ย่อมสะท้อนภาพออกมาต่างกันด้วย ดังนั้น ใบหน้าที่แท้จริงของเราจึงเป็นสิ่งที่มองด้วยตาไม่เห็น เกินขอบเขตการมองเห็น กฎหมายก็เหมือนกัน ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันได้ จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เห็นตรงกันหรือเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันทุกคน
.................นิติศาสตร์กับกฎหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? คำตอบคือ นิติศาสตร์ กว้างกว่าและลึกกว่ากฎหมาย เพราะนิติศาสตร์มิใช่เป็นเพียงตัวบทกฎหมายที่อยู่ในฐานะเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมความประพฤติเท่านั้น แต่เป็นวิชาที่ว่าด้วยหลักการและกฎเกณฑ์ของกฎหมาย รวมถึงวิธีการใช้กฎหมาย การตีความกฎหมายเพื่อแก้ไขข้อโต้แย้งต่าง ๆ และหยั่งลึกไปถึงเบื้องหลังของหลักการทางกฎหมายว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีความสัมพันธ์กับปรากฏการทางสังคมอย่างไร เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลและการตัดสินคุณค่าของปรากฎการณ์ทั้งหลาย เพื่อเป็นการประเมินหรือวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับความเป็นธรรม ...นี่เป็นลักษณะของนิติศาสตร์ กฎหมายจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิติศาสตร์เท่านั้น
.................การศึกษานิติศาสตร์จึงมี 3 ระดับคือ 1) นิติศาสตร์โดยแท้ (Legal Science Proper) 2) นิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง (Science of Fact) 3) นิติศาสตร์ทางคุณค่า (Science of Value)
.................นิติศาสตร์โดยแท้ คือ การศึกษาความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายและหลักกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ในเรื่องนิติวิธี หรืออาจสรุปได้ว่า เป็นการศึกษาตัวกฎหมายและวิธีการใช้นั่นเอง
.................นิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง คือ การศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลที่ปรากฎในปัจจุบัน
.................นิติศาสตร์ทางคุณค่า คือ การศึกษากฎหมายในแง่คุณค่าซึ่งมีการตัดสินหรือวิจารณ์ว่าดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร ผิดหรือถูก เพื่อใช้ประเมินคุณค่าของกรณีต่าง ๆ
.................สรุปว่า “การศึกษานิติศาสตร์” เป็นการศึกษาหลักวิชากฎหมาย นิติวิธี ความสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงผลของกฎหมายกับปรากฏการณ์ทางสังคม และคุณค่าของปรากฏการณ์ทั้งหลายซึ่งอาจจะต้องนำมาประเมินหรือตัดสินปัญหาต่าง ๆ นั่นเอง
ขอแถม...เรื่องเล่าในห้องเรียน
.................มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อาจารย์ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจว่า...(อาจจะตกหล่นบ้างน่ะครับ)...วันหนึ่งอาจารย์กลับรถในบริเวณที่แคบ ๆ แห่งหนึ่งอยู่ในเขตธนบุรี ณ ตรงนั้นฝาท่อระบายน้ำมันหงายขึ้น (คือผู้รับเหมาวางฝาท่อผิด ปกติต้องคว่ำ) ทำให้คมของฝาท่อเฉือนล้อรถของอาจารย์จนยางแตกแฟบลงทันที อาจารย์ไม่รู้จะทำไงดี เพราะรู้เป็นนักฎหมายแต่ไม่รู้วิธีเปลี่ยนยางรถเพราะไม่ใช่ช่างยนต์ แต่โชคดีที่ชาวบ้านแถวนั้นเข้ามาช่วยกันเปลี่ยนยางให้จนเสร็จ ชาวบ้านก็บอกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้รับเหมาเขาวางฝาท่อไว้ไม่ได้ จริง ๆ มันต้องคว่ำ แต่ก็ดีน่ะที่รถของอาจารย์มาเหยียบเข้า ถ้าเด็ก ๆ วิ่งมาเหยียบเข้า คงได้เจ็บได้มีบาดแผลกันแน่ อาจารย์ก็เลยคุยกับชาวบ้านว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเอาผิดกับเขตธนบุรีในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยของถนนหนทางในเขตนี้ ชาวบ้านก็ถามว่า ทำไมไม่ไปเอาผิดกับผู้รับเหมาล่ะ อาจารย์ตอบว่า เพราะเขตเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลโดยตรง ไม่ว่าไปว่าจ้างใครให้มารับเหมางาน เมื่อเกิดความผิดพลาดเขตก็ต้องรับผิดชอบ ประชาชนเสียหายมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย (ชาวบ้านงง...อย่างนี้มีด้วยหรือ)
.................ฝ่ายอาจารย์รีบไปสนง.เขตธนบุรีทันที ไปถึงเจ้าหน้าที่เขาบอกว่ามีเรื่องอะไร อาจารย์บอกว่าจะมาเรียกค่าเสียหาย 700 บาท ค่ายางเสียหายเพราะฝาท่อบนถนนเฉือนแตก เจ้าหน้าที่เลยบอกให้ไปคุยกับ รอง ผอ.เขต เขาก็บอกว่าอย่างนี้มีด้วยหรือ ไม่เคยมีใครมาเรียกร้องแบบนี้เลย รอง ผอ.เขตจึงให้อาจารย์เขียนคำร้อง.....ซึ่งอาจารย์ก็ได้ทำตามนั้น
.................ต่อมาอาจารย์ไปต่างประเทศระยะเวลาหนึ่ง พอกลับมาถึงเมืองไทย ภรรยาบอกว่ามีคนมาหาบ่อยมากตอนที่อาจารย์ไม่อยู่ อาจารย์ถามว่าเป็นใครล่ะ ภรรยาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่เขต แต่ก็ไม่กล้าถามว่ามีเรื่องอะไร จนเช้าวันหนึ่งอาจารย์ก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่เอง ปรากฎว่า ทางเขตนำเรื่องที่ร้องเรียนไปประชุม ผลประกฎว่าตามหลักกฎหมายแล้ว กรณีข้อเท็จจริงเช่นนี้ เขตต้องรับผิดชอบ ทางเขตจึงจ่ายค่าเสียหายให้ 700 บาท
.................ทุกท่านครับ บ่อยครั้งที่กรณีเช่นนี้หรือคล้ายกันเกิดกับเรา เมื่อเราไม่รู้กฎหมายก็มักปลงใจว่าเป็นเคราะห์ เป็นกรรม เป็นโชคร้าย ถึงคราวต้องเสีย แต่หากเรารู้กฎหมายบางครั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นมันอาจเป็นเพราะความบกพร่องของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็ได้ และโดยหลักกฎหมายแล้วเขาต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย.....เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ว่า สิทธิต่าง ๆ เรามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เราควรใช้สิทธินั้น ๆ ไม่ควรนิ่งเฉยจนต้องเสียประโยชน์โดยเหตุ อันไม่ควร....น่ะครับ
ไม่มีความเห็น