'ยังก์ แอนด์ รูบิแคม'เผยงานวิจัยรูปแบบการโฆษณา-การตลาด พบ'การทดลองให้ใช้สินค้าก่อนซื้อ' ให้ส่วนลดพิเศษเวิร์ก ขณะที่การสะสมยอดซื้อสินค้า ลุ้นโชคต่อหลายชั้นไม่ค่อยได้รับความนิยม
จากการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทำให้บริษัทที่ปรึกษาทางด้านโฆษณาและการตลาดจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัวรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการสื่อสารให้สอดรับกับสถานการณ์ของสังคมในแต่ละยุคอย่างรวดเร็ว
"เอนเนอร์จี้" (ENERGY) ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ บริษัท ยังก์ แอนด์ รูบิแคม (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนกลยุทธ์ จึงได้ทำโครงการ "วายแอนด์อาร์รีเฟกเตอร์" เพื่อทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและความเป็นไปในสังคมไทย พร้อมทั้งรูปแบบของโฆษณาและกิจกรรมทางการตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
โดยทำการศึกษาเฉพาะคนกรุงเทพฯทุกๆ 3 เดือน จำนวน 300 คน ช่วงอายุระหว่าง 13-59 ปี รายได้ครัวเรือนตั้งแต่ 35,000 บาทขึ้นไป
จากการวิจัยดังกล่าว "กิตติพงษ์ วีระเตชะ" ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ของเอนเนอร์จี้ บอกว่า คนกรุงเทพฯ 73% รู้สึกพอใจกับสภาพชีวิต ณ ปัจจุบัน แต่ก็ยังมีความกังวลสูงถึง 68% โดยส่วนใหญ่จะมีความกังวลเรื่องเงินทองและวัตถุ 23% ซึ่งส่วนใหญ่กลัวเงินไม่พอใช้และต้องการเงินที่เพิ่มขึ้น กลัวการเป็นหนี้ และกลัวรายได้ลด ตามด้วยเรื่องของสุขภาพ 19% เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม 19% และเรื่องงาน 13.7%
สำหรับความสนใจของผู้บริโภคในกรุงเทพฯต่อโฆษณานั้น ส่วนใหญ่มองว่างานโฆษณาในปัจจุบันมีความน่าสนใจมากขึ้น โดย 65% เห็นว่าโฆษณาในปัจจุบันมีความน่าสนใจกว่าแต่ก่อน 48.7% เห็นว่ามีความคิดสร้างสรรค์และแปลกใหม่ ไม่น่าเบื่อ 39% เห็นว่าตลกขบขัน มีเนื้อเรื่องและเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ในขณะที่อีก 22.3% เห็นว่าโฆษณาในปัจจุบันมีความน่าสนใจลดน้อยลง โดย 59.7% เห็นว่ามีเรื่องราวเกินจริง ไม่มีสาระ และเนื้อหาที่เข้าใจยากและอาจทำให้เด็กเลียนแบบได้
ทั้งนี้ คนกรุงเทพฯ 80.7% สนใจโฆษณาที่มีมุขตลกขบขัน 78.3% สนใจเพราะมีเรื่องราวที่สนับสนุนให้คนเป็นคนดี 78% สนใจเพราะมีวิธีการนำเสนอใหม่ๆ และแตกต่าง 76.3% สนใจเพราะเรื่องราวที่เข้าใจง่าย ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องมีเพลงประกอบที่ไพเราะ สนุกสนาน รวมทั้งมีพรีเซ็นเตอร์ที่น่าสนใจด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาพรวมจะระบุว่า โฆษณาที่มีเนื้อหาตลกขบขันสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้มากกว่าปัจจัยอื่น แต่หากแบ่งแยกตามช่วงอายุจะพบว่า ความสนใจโฆษณาที่มีเนื้อหาตลกขบขันกลับลดลงตามระดับอายุที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในช่วงอายุที่ต่างกัน ยกตัวอย่าง เช่น คนกลุ่มอายุ 12-22 ปี และ 30-39 ปี มีความสนใจเรื่องการส่งเสริมสังคม และมีการนำเสนอที่แตกต่างใกล้เคียงกัน กลุ่มคนอายุ 30-39 ปีและ 40-49 ปี ให้ความสนใจในประเด็นของเรื่องราวที่เข้าใจง่ายใกล้เคียงกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ในแง่ของพรีเซ็นเตอร์นั้น ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพรีเซ็นเตอร์ที่มีรูปร่างหน้าดีและเป็นผู้เชี่ยวชาญน่าเชื่อถือสูงถึง 36% เท่ากัน ตามด้วยมีชื่อเสียง 60% คนทั่วไป 35%
นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคคนไทยไม่ได้สนใจเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ยังมองในแง่ของความน่าเชื่อถือและมีความคิด ขณะเดียวกันยังรับความเป็นจริงได้มากขึ้นด้วย
ส่วนกิจกรรมทางการที่เป็นที่สนใจของคนกรุงเทพฯนั้นพบว่า ผู้บริโภคในยุคนี้จะให้ความสนใจกับการให้ทดลองใช้สินค้าก่อนซื้อสูงถึง 69.7% ตามด้วยบูทสินค้าที่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้า 60.3% รูปแบบการให้ส่วนลดพิเศษหรือสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก 58.3% มีดารามาร่วมทำกิจกรรม 55.4%
|
||||
ไม่มีความเห็น