วันวิสาขบูชาเป็นวันที่มี “เหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์” หรือ “เหตุการณ์สำคัญที่สุดตลอดกาล” สำหรับชาวพุทธแท้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญ ที่มีความหมายสำคัญอันลึกซึ้งยิ่งกว่าความรู้เดิมๆของพวกเราในโรงเรียนเพียงแค่ว่า วันวิสาขบูชา เป็นวันคล้าย "วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า" เท่านั้น นะคะ
เพื่อนๆรู้ไหมค่ะว่า การมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดขึ้นพระองค์หนึ่งในโลกนั้น นับว่าเป็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่อันประมาณค่ามิได้ท่ามกลางสังสารวัฏอันยาวไกล เปรียบเสมือนเราเดินหลงป่าในคืนเดือนมืด เราเดินหลงทางมายาวนาน ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนเส้นทางอันเงียบเหงา เวิ้งว้าง ว่างเปล่า หิวโหย ไร้ทิศทาง เพื่อแสวงหาความรัก ความสุข ความมั่นคงปลอดภัย ความอบอุ่นและแสงสว่าง อย่างไม่รู้ทิศทาง แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่ง ผู้รู้รอบครอบทั่วทุกสารทิศก็มาเป็นผู้นำทาง เมื่อผู้มีเมตตาอันยิ่งใหญ่มาปรากฏกายขึ้น พร้อมกับนำดวงประทีปที่ส่องสว่างสาดฉายทำลายความมืดมนที่กระจายอยู่ในทุกทิศทาง นำมายื่นให้เราพร้อมทั้งชี้ให้เรารู้ว่า หลุมพรางข้างหน้ายังมีอีกมากมาย แล้วแนะนำทางตรง ทางอ้อม ทางลัด และทางออก ให้เรา จนเรามองเห็นเส้นทางอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่จะนำไปสู่ปลายทางแห่งความเป็นอิสระ สว่างไสว หลุดพ้นไปจากความมืดมนและพันธนาการทั้งปวงลงได้อย่างถาวร เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เราเป็นอิสระจากความมืดอันยาวไกล เราจะรู้สึกอย่างลึกซึ้งขึ้นมาทีเดียวว่า ผู้ที่เมตตาชี้ทางออกให้แก่เราผู้นั้น เป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเราอย่างหาที่สุดมิได้
นอกจากนั้น กว่าที่โลกของเรา จะมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดขึ้นมาสักพระองค์หนึ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในช่วงกาลหนึ่ง ๆ เลยนะคะ
หากแต่ต้องอาศัยเวลาอันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ กว่าที่จะมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดขึ้นสักครั้ง ซึ่งความเชื่อโบราณถือว่า เมื่อโลกเกิดประลัยขึ้นครั้งหนึ่ง ก็นับเป็นสิ้นกัปหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า เมื่อสิ้นแต่ละกัปแล้ว จะมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดขึ้นเสมอไปนะคะ
บางกัปนั้น ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเลย ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาอันเวิ้งว้าง ว่างเปล่าอย่างที่สุด
บางกัปนั้น แม้จะมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิดขึ้น ท่านก็เป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า
คือ เป็นพระพุทธเจ้าผู้ที่ตรัสรู้เฉพาะตน แต่มิได้ออกเผยแผ่หรือเทศนาสั่งสอนผู้อื่นในวงกว้างให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
และบางกัปนั้น แม้จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น สั่งสอนผู้คนให้รู้ตามได้ แต่ท่านก็มิได้บัญญัติ
เรียบเรียงคำสอนไว้ให้เราได้ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างชัดเจน แจ่งแจ้ง ดังเช่นยุคนี้เลย
พระมหาบุรุษหรือพระสิทธัตถะ ก่อนที่ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีเป็นเวลายาวนานถึง ๒๐ อสงไขย กับแสนกัป เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า นับตั้งแต่พระชาติแรกที่ทรงดำริตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกาลข้างหน้า จนถึงพระชาติสุดท้าย คือ พระเวสสันดร ทรงรักษาความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ และบำเพ็ญเพียรอย่างมากมาเป็นเวลาหลายภพหลายชาติ จนกระทั่ง มาถึงพระชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า
การอุบัติของพระพุทธเจ้าในเบื้องต้น คือ การเกิดมาเป็นพระราชกุมาร ในฐานะมนุษย์ธรรมดา ก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์เป็นเจ้าชายแห่งแคว้นสักกะ มีพระนามว่า ”สิทธัตถะ” ทรงประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
ในวันประสูตินั้น พระองค์ได้ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดใหม่ของเราจักไม่มีอีกต่อไป” การประสูติของพระองค์ จึงเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อันเป็นผู้ประเสริฐกว่าเหล่าสรรพสัตว์และเทพเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งเป็นการประกาศวิสัยทัศน์และจุดยืนแห่งการบำเพ็ญเพียรเพื่อความดีอันสูงสุดที่มนุษย์จะพึงเข้าถึง
นับเป็นการถือกำเนิดที่มีความหมายมากกว่าการเกิดมาของใครคนหนึ่ง เพราะนี่ไม่ใช่การเกิดมาเพื่อถามตัวเองว่า “เราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข” แต่เป็นการเกิดมาเพื่อถามตัวเองว่า “เราจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้อย่างไร”
ในวันตรัสรู้ พระองค์ได้ตรัสรู้ “อริยสัจ 4” อันเป็นความจริงของชีวิต ได้แก่
1. ทุกข์
2. สมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
3. นิโรธ (ความดับไปแห่งเหตุแห่งทุกข์)
4. มรรค (หนทางสู่ความดับเหตุแห่งทุกข์)
“อริยสัจ 4” เป็นการเปิดเผยความจริงของโลกซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยมายาภาพทั้งหลายและเป็นการจุดประกายแสงสว่างในจิตใจของเหล่าสรรพสัตว์ผู้สดับธรรม บรรเทาความมืด คือ “อวิชชา” ที่ท่วมทับมานานแสนนานให้น้อยลงและสิ้นสูญในที่สุด พระองค์ได้ตรัสรู้แจ้ง หมดกิเลส หมดทุกข์ทางใจโดยสิ้นเชิง เป็นพระอรหันต์ด้วยพระองค์เองเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
จากนั้นพระพุทธองค์ ก็ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก โดยการประกาศสิ่งที่ได้ตรัสรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อชี้แจงให้สรรพสัตว์หยั่งเห็นความจริง และเชิญชวนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อปลดเปลื้องตนจากสิ่งเศร้าหมองจนพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
นอกจากเหล่ามนุษย์แล้ว ทวยเทพนับแต่ชั้นกามาวจรไปจนกระทั่งภพแห่งรูปพรหม ต่างก็ได้สิทธิ์ในการเจริญสติจนบรรลุธรรม พ้นทุกข์พ้นภัยจากสังสารวัฏ แม้อรูปพรหมผู้มีเพียงจิต ก็ยังมีสิทธิ์อนุโมทนาด้วยมหาโสมนัสกับการอุบัติแห่งพระองค์ท่าน เพราะพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ เป็นเครื่องนำทางให้บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานโดยทั่วกัน
หากกล่าวตามประสาปุถุชนทั่วไปนั้น การตรัสรู้นับเป็นของขวัญวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพระองค์เอง และเป็นของกำนัลชิ้นใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษยชาติและเหล่าเทวดาทั้งหลาย
และในวันดับขันธปรินิพพาน หรือวันเวลาที่พระพุทธองค์ทรงทิ้งโลกนี้เข้าสู่มหานฤพาน ประดุจสายน้ำสายหนึ่งไหลเข้ารวมเป็นหนึ่งกับมหาสมุทร ซึ่งวันนี้เป็นวันเดียวกับวันประสูติและวันตรัสรู้อีกด้วย พระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน เข้าถึงวิมุตติสุข คือ สุขจากการหลุดพ้น สุขจากการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ในวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแม้ในวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระพุทธองค์ได้มีปัจฉิมโอวาทที่กล่าวฝากไว้ก่อนจะดับขันธปรินิพพาน ว่า
"บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"
นับเป็นการสูญเสียพระวรกายแห่งองค์ท่าน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความตั้งมั่นถาวรแห่งองค์พระศาสดาในพระพุทธศาสนา เพราะจากนั้นสืบมา คำสอนของพระพุทธองค์ได้เป็นตัวแทนของพระองค์ท่านตราบชั่วนิรันดร์ ดังที่พระองค์ทรงสอนว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
เห็นไหมค่ะเพื่อนๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะคะ ที่เราจะได้เกิดทันในยุคที่ยังมีร่องรอยของคำสอนแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้าให้เราได้เรียนรู้ ศึกษา และปฏิบัติตาม ได้ถือแผนที่พ้นทุกข์ และมีสิทธิเท่าเทียมกัน ในการที่จะเดินทางไปสู่อิสระภาพ หรือความดับทุกข์อันสิ้นเชิงกันทุกคน คือ ถึงพระนิพพาน จึงเป็นโชคดีอันมหาศาลของพวกเราชาวพุทธทุกคน ที่ยังมีโอกาสปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์
เราชาวพุทธทั้งหลาย จึงควรระลึกถึงเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา ทั้งการมา การอยู่และการไปของพระพุทธองค์ นั่นก็คือ
วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ซึ่งได้เกิดขึ้นมีครบบริบูรณ์ในวันเดียวกัน เราจึงเรียกว่า “วิสาขปูรณมีบูชา” แล้วย่อลงเหลือว่า “วิสาขบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” ซึ่งเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย และตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ที่มักจะเป็นพฤษภาคมหรือมิถุนายนของทุกปีค่ะ
ที่สำคัญนะคะ เราจะเห็นได้ว่า ผู้คนทั้งหลายยอมรับตรงกันในระดับโลก ว่า “วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า” มีความสำคัญอย่างยิ่ง เห็นได้จากที่องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก โดยเริ่มจากการเสนอของประเทศศรีลังกา และมีมติเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ซึ่งให้เหตุผลว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้คนจากทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ นอกจากนั้นพระองค์ยังเป็นศาสดาผู้สั่งสอนทุกคนด้วยพระปัญญา แจกแจงเหตุผล โดยไม่คำนึงถึงสิ่งตอบแทนใดๆจากปวงชน
ดังนั้น วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า จริงๆแล้วจะมีความหมายต่อสรรพชีวิตในไตรภูมิ อันได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ นี้เพียงใด และมีความหมายอันลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่เพียงไหนนั้น ก็ต่อเมื่อคนทั้งหลายทั่วโลก ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริงของพระพุทธองค์ แล้ววันวิสาขบูชา จะเป็น "วันสำคัญ" ของนานาชาติได้อย่างแท้จริงค่ะ
นอกจากนั้น คุณดังตฤณ ได้เรียกขานวันวิสาขบูชานี้ว่าเป็น "วันมหามงคลแห่งไตรภูมิ" โดยสรุปไว้ว่า
" สำหรับผู้ได้ญาณหยั่งรู้ว่ายังมีภพภูมิอยู่มากกว่าโลกนี้
ย่อมไม่เห็นวันวิสาขบูชาสำคัญเพียงระดับโลก แต่ถือเป็นวันมหามงคลระดับไตรภูมิ
แสงสว่างสูงสุดอันเป็นธรรมาภิสมัยบังเกิดขึ้นหนึ่งเดียวในอนันตจักรวาล ณ วันนี้ในอดีต
จึงไม่อาจถือเอาจุดตัดแห่งเวลาวันเดือนปีใด สูงส่งเหนือไปกว่านี้ได้อีกแล้ว"
“ปีติอันเกิดจากการระลึกถึงความจริงข้อนี้มีประมาณใด ก็ขอให้ได้เป็นปัจจัยแห่งนิพพานได้มากมายประมาณนั้นในแต่ละท่านเถิด”
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะ เพื่อนๆ
***การได้เผยแผ่ธรรมของพระพุทธองค์เป็นมงคลแห่งชีวิต..เป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่
***ขอบคุณค่ะที่ส่งบูญมารักษา...ส่งธรรม..มาคุ้มครอง
แวะมาเยี่ยม
ศึกษาธรรม...นำมาปฏิบัติ