11 พฤษภาคม 2551 หลังจากไปพูดให้ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยที่ครูโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดเชิญมาปฐมนิเทศการเตรียมลูกก่อนเข้าโรงเรียนฟังตามที่รับปากไว้ตามคำเชิญทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ฉันก็ไปงานศพคุณพ่อพี่ชายของน้องแอ๊ดที่ตะกั่วป่า คุณสามีอำนวยความสะดวกขับรถไปให้ ฝนตกหนักเป็นระยะระหว่างที่เดินทางกันไป
ระยะนี้ฉันทำอะไรโก๊ะๆหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็เรื่องของน้องแอ๊ด น้องอัยการบอกข่าวมาว่าคุณพ่อพี่ชายของน้องแอ๊ดเสียชีวิต ฉันมาบอกต่อเพี้ยนเป็นคุณแม่ซะนี้ ไปถึงงานศพจึงรู้ตัวว่าโก๊ะ นึกแล้วก็ขำว่าเป็นไปได้หนอนี่ ได้เรียนรู้ว่า เวลามีอะไรยุ่งๆให้ต้องทำพร้อมๆกันหลายๆอย่างที่ต้องรีบๆทำ สติจะไม่ดี การฟังเพื่อรับไว้จะไม่ดีอย่างที่คาดหวัง
เรื่องการไปพูดตามที่โรงเรียนเชิญ โรงเรียนแจ้งว่าได้กำหนดให้ฉันเป็นผู้พูดคนแรก ฉันรู้สึกแปลกด้วยในมุมมองฉัน โรงเรียนต้องการชี้แจงเรื่องราวแก่ผู้ปกครอง ฉันว่าเรื่องวิชาการน่าจะเป็นเรื่องแถม เมื่อทราบวัตถุประสงค์การเชิญให้พูด ฉันจึงแจ้งว่าฉันเปลี่ยนขอเลื่อนไปพูดหลังกลุ่มผู้บริหารโรงเรียน จะมีกี่คนพูดก่อนไม่ว่ากันฉันจะรอฟังว่าพูดอะไรบ้าง ขอฟังเพื่อนำไปปรับใช้เมื่อถึงตาฉันพูด พร้อมแจ้งไปว่าให้บอกด้วยว่าหลักสูตรที่สอนเด็กปฐมวัยมีอะไรบ้าง อุปกรณ์ที่ใช้สอนขอให้เอาไปด้วย ฉันจะได้ใช้ยกตัวอย่างประกอบการพูดให้เข้าทางและสอดคล้องกันกับที่ครูพูดไว้
ประเด็นที่ถูกเชิญให้ไปพูดคุย คือ เรื่องพัฒนาการทางสมองและอารมณ์ เมื่อครูระดับบริหารหลายคนขึ้นไปพูด เขาได้ช่วยกันพูดวิชาการให้ฉันหมดแล้ว ถึงตาฉันพูดมีเวลาเหลือให้พอใช้คุยกับผู้ปกครองอยู่ราวครึ่งชั่วโมง คำ 3 คำ ที่ผุดขึ้นในใจระหว่างการรอพูด ถูกฉันนำมาพูดเรียงร้อยเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นของพัฒนาการทางสมองและอารมณ์ เนื้อเรื่องที่พูดอาศัยตามน้ำครูปฐมวัยที่ได้ร่วมพูดแบบคู่พูดดูโอ ฉันชวนผู้ปกครองร่วมสนทนาแบบสนทนาธรรมดาๆ ที่แทรกบทสะท้อน (reflection) ให้ผู้ปกครองได้แสดงบทร่วมระหว่างพูดคุย คำ 3 คำที่ใช้นำมาเรียงร้อยในการสนทนา คือ คำนี้ค่ะ “สุข ดี เก่ง” ไม่ใช่ "เก่ง ดี สุข"
หลังกลับมาบ้านฉันหวนคิดถึงกิจกรรมเด็ดๆที่ได้พบเด็กๆทำให้เห็น ทั้งในขบวนของชาวแซ่เฮ นักเรียนสตรีภูเก็ต และ น้องจอม แฟนพันธุ์แท้หอย รวมถึงเด็กๆที่พบเจอมากับผู้ปกครองที่พบกันวันนี้ แล้วเรียนรู้ว่า มุมมองของการเรียงร้อย 3 คำนี้ในเหตุการณ์ที่พบเห็นมีมุมต่างกัน
ครูในสตรีภูเก็ตที่เจอเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2551 และผู้ปกครองที่ฉันเจอในวันนี้ สะท้อนมุมมองว่า หากเรียงร้อย 3 คำนี้เป็นคำแทนความฝันที่อยู่ในใจของผู้ใหญ่ คำที่เรียงร้อยได้จะเป็น “เก่ง ดี สุข” หรือ “ดี เก่ง สุข” ส่วนเด็กในขบวนของชาวแซ่เฮและน้องจอมนั้น หากเรียงร้อย 3 คำนี้เป็นคำแทนฝันที่อยู่ในใจของเด็กๆ คำที่เรียงร้อยได้จะสะท้อนคำว่า “สุข ดี เก่ง”
ฉันเคยรู้มาว่า การจะเกิดความสุขก่อนดีก่อนเก่ง ควรจะใช้หลักที่เรียกว่า “ชนะ-ชนะ” (win-win) ตอบสนองต่อกันและกัน เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีมุมมองต่างกัน คนที่ต้องปรับภาวะ“แพ้-ชนะ”หรือ “ชนะ-แพ้” สู่ “ชนะ-ชนะ” ควรจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กๆ คนที่ต้องลงมือทำให้เกิด “ชนะ-ชนะ” ก่อนคือผู้ใหญ่เช่นกัน นึกภาพแล้วเห็นครอบครัวแซ่เฮมีตัวอย่างที่เป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้วิธีการทำให้เกิดภาวะ “ชนะ-ชนะ” ระหว่างคนโต กว่ากับคนเด็กกว่าอยู่อย่างหลากหลาย
ฉันเก็บเกี่ยวได้ว่า การปรับภาวะให้เกิด ชนะ-ชนะ ทำได้ง่ายๆ การให้อิสระในการพูด อิสระในการคิด อิสระในการพูดได้อย่างที่คิด การฟังแบบคนพูดรู้ว่า “ยอมรับฟัง” คือ ฟังเรื่องที่พูดโดยไม่ตัดสินผิดหรือถูก ไม่ผนวกอารมณ์ลบของผู้ฟัง แต่ผนวกอารมณ์สุขของผู้ฟัง การพูดออกมาแบบจริงใจและไม่ทำร้ายใจใคร เท่านี้ทำให้เกิดภาวะ ชนะ-ชนะ ได้แล้ว
ฉันว่าเด็กๆ มีความสุขเมื่อได้พูดแล้วมีคนฟัง ฉันว่าเขาแปลการรับฟังนั้นหมายไปถึงการยอมรับจินตนาการที่ตัวเขามี เมื่อผู้ใหญ่อย่างเรายังฝันอยากให้มีคนฟังเราพูด ยอมรับเรื่องที่เราพูด เรื่องที่เราคิด โดยไม่ตัดสินผิดหรือถูก ไม่ผนวกอารมณ์ลบของผู้ฟัง แถมด้วยอารมณ์สุขที่จริงใจจากผู้ฟัง เด็กๆเป็นเช่นนั้นด้วยจริงไหมเอย!
ฝันนี้ของเด็กจะเป็นจริงเมื่อคนพูดและคนฟัง “ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน” ผลลัพธ์ ชนะ-ชนะ จึงเกิดตามมา ผลได้ต่อมาจากการมีความสุข คือความอิ่มใจ เมื่อเด็กอิ่มใจ เด็กจะเปิดใจต่อการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในที่สุดแล้วเด็กนั้นก็จะมีความดี ความเก่งเกิดขึ้นตามมาในตัวของเขา
นี้คือประเด็นที่เก็บเกี่ยวได้จากการร่วมใช้ชีวิตกับคนชาวแซ่เฮ ที่อยากบอกเพิ่มค่ะ
เยี่ยมมากครับพี่หมอเจ๊ ประเด็นชัดเจนครับ
สงสัยต้องตั้งชื่อพี่หมอเจ๊เป็น โก๊ะ เจ๊ จัง ให้เป็นแม่ของโก๊ะ จิ จัง อิอิ งานศพที่พี่หมอไปเป็นพี่ชายของคุณแอ๊ดครับ คุณพ่อเสียไปก่อนหลายปีดีดึกแล้วครับ อิอิ
ทำไปทำมาปรากฏว่าผมรู้จักแบบสนิทสนมกับเพื่อนๆพี่หมอเจ๊ตั้งหลายคนแน่ะครับ วี๊ดว๊ายกะตู้วู้กันใหญ่ วันที่ไปงานศพถ้าผมรู้ว่าพี่หมอเจ๊สนิทกับพี่ปิ๋ว พี่ปิยะนุช พี่หมอเจ๊ยังไม่ได้กลับกระบี่แน่ อิอิ
คุณแอ๊ดฝากขอบพระคุณพี่หมอเจ๊กับคุณสามีอีกรอบหนึ่งครับ