บทสรุปปรากฏการณ์
มหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 (1)
(Executive Summary)
มหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1-2
ธันวาคม 2548 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ ได้กำหนดประเด็นหลัก
(theme) ของการจัดงานว่าเป็น
“เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง”
ทำให้การออกแบบงานมหกรรมฯครั้งนี้
มีความแตกต่างจากงานสัมมนาวิชาการจัดการความรู้ทั่วไป กล่าวคือ
งานได้มุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ปฏิบัติ
(interactive learning) จึงมีการแบ่งเนื้อหา (content) ออกเป็นส่วนๆ
และผู้ประสงค์เข้าร่วมงานก็จะลงทะเบียนตามเนื้อหาเหล่านั้น
เพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากรที่ได้มานำเสนอกรณีศึกษาต่างๆ
ตามเนื้อหาที่จัดเวทีไว้เป็นห้องอย่างเป็นสัดเป็นส่วน
เนื้อหาที่นำเสนอในงามมหกรรมฯ ประกอบไปด้วย
1. การจัดการความรู้ในภาคประชาสังคม
เป็นเวทีบอกเล่าเรื่องราวของเกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการประกอบอาชีพในแนวทางเกษตรเคมี
จนเกิดผลกระทบกับตัวเอง ครอบครัว และสังคมมากมาย
มาสู่เกษตรอินทรีย์ที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างได้ผล
2. การจัดการความรู้ในภาคราชการ
เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากองค์กรภาครัฐที่นำกระบวนการจัดการความรู้ไปใช้เพื่อความสำเร็จหรือเพิ่มประสิทธิผลให้กับองค์กร
ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐ ทั้งนักปฏิบัติ
หรือ “คุณกิจ” และ ผู้อำนวยการเรียนรู้หรือ “คุณอำนวย”
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเครื่องมือบางประการที่จะช่วยให้กระบวนการจัดการความรู้เป็นไปอย่างมีทิศทาง
ได้แก่ การใช้ตัวชี้วัด
3. การจัดการความรู้ในภาคเอกชน
เป็นการนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการความรู้ในกลุ่มที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของการจัดการความรู้
คือภาคธุรกิจเอกชน โดยมีความหลากหลายทั้งวิธีคิด วิธีปฏิบัติ
และการประยุกต์ใช้การจัดการความรู้ให้สอดคล้องกลมกลืนไปกับเนื้องาน
4. ห้องเรียน KM และการจัดการความรู้ในโรงเรียน
เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ถือว่ามีความแตกต่างหลากหลายมาก
แม้ว่าจะมีกรณีศึกษาเรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนเป็นตัวเดินเรื่องก็ตาม
หากแต่ผู้เข้าร่วมในเวทีนี้มาจากหลายวิชาชีพ
ทำให้การแลกเปลี่ยนในเรื่องกระบวนการ KM นั้นเป็นไปอย่างน่าสนใจ
รวมทั้งมีการเสริมความรู้เรื่องแหล่งเรียนรู้ใน Internet
ได้แก่สารานุกรม Wikipedia ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานอีกด้วย
5. คลินิคให้คำปรึกษา
ถือเป็นสีสันของงานมหกรรมที่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างดี
โดยจัดให้มีผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ
มาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจ งานมหกรรมฯ นี้มีการให้คำปรึกษาใน 3
หัวข้อ คือ KM Thesis
เป็นการให้คำปรึกษาเพื่อการทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการจัดการความรู้
Weblog เป็นการให้คำปรึกษาประกอบการสาธิตการใช้งานจริงของ Blog และ
Faci Service เป็นการแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจในบทบาทของ “คุณอำนวย”
(knowledge facilitator)
นอกจากเนื้อหาหลักทั้ง 5 ประเด็นแล้ว ยังมีการนำเสนอเรื่องราวของการจัดการความรู้จากหน่วยงาน/กลุ่ม/องค์กร ต่างๆ ในรูปแบบของการจัดนิทรรศการอีกถึง 30 บูธ ที่สำคัญ ผู้เข้าร่วมงานจะได้ฟังการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การจัดการความรู้: กระบวนการปลดปล่อยมนุษย์ สู่ศักยภาพ เสรีภาพและความสุข” โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานได้เข้าใจได้ถึงพลานุภาพของการจัดการความรู้ที่จะปลดปล่อยมนุษย์จากพันธนาการทั้งปวงที่คุมขังมนุษย์ไว้ รวมทั้งยังได้เห็นความก้าวหน้าของการทำงานส่งเสริมการจัดการความรู้ของ สคส. ผ่านวิดีทัศน์เรื่อง “คุณค่าและมูลค่าแห่งปัญญาปฏิบัติ”
สรุปความรู้จากวิดีทัศน์เรื่อง
“คุณค่าและมูลค่าแห่งปัญญาปฏิบัติ”
วิดีทัศน์ได้เสนอเรื่องราวของการจัดการความรู้ในลักษณะของกรณีศึกษา 2 กรณี ที่สะท้อนหลักการทำงานของ สคส. โดยทั้ง 2 กรณีนั้นเน้นหลักการจัดการความรู้ที่เชื่อว่าความรู้เกิดจากผู้ปฏิบัติ ได้ลงมือทำจริง เกิดผลจริง และนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อขยายผล ยกระดับความรู้ขึ้นไป ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับแนวทางของ สคส. นอกจากนี้กรณีศึกษาทั้งสองกรณียังเป็นกลุ่ม/องค์กร ที่ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่กรณีที่ 1 เป็นการจัดการความรู้โดยภาคประชาชน ที่มุ่งเน้นแก้ป้ญหาความทุกข์ในการดำเนินชีวิต และการประกอบสัมมนาชีพ กรณีที่ 2 เป็นการจัดการความรู้ในองค์กรที่เป็นทางการ คือ โรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายขององค์กร คือ การทำให้ผู้รับบริการ (คนไข้) ได้บริการที่ดีที่สุดและมีความพึงพอใจ
กรณีที่ 1 บทเรียนการจัดการความรู้ที่พิจิตร
จุดเริ่มต้นของการทำงานพัฒนาโดยภาคประชาชนของจังหวัดพิจิตรนั้นเกี่ยวข้องกับ ประเด็นปัญหาพื้นฐานของชาวบ้าน คือ หนี้สินและปัญหาสุขภาพ (มีสารพิษตกค้าง) โดยมีบทเรียนว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมๆ นั้นไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้จริง จำเป็นต้องค้นหาวิธีใหม่ ซึ่งเชื่อว่า คนต้องเปลี่ยนวิธีคิด (กระบวนทัศน์) จากวิธีคิดแบบเดิมไปสู่วิธีคิดแบบใหม่ที่จะนำไปสู่การปลดปล่อยทุกข์ทั้งเรื่องหนี้สินและสุขภาพ โดยผ่านเครื่องมือที่สำคัญคือ โรงเรียน วปอ. (วิทยากรการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและการพึ่งพากันเอง) ที่นำเอาปราชญ์ชาวบ้านมาถ่ายทอดความคิด ให้เห็นตัวแบบ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนวิธีคิด และมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากมายตามมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายไปในทางดีขึ้น และเริ่มนำเอาแนวทางการจัดการความรู้ที่ สคส. แนะนำให้มาต่อยอดการทำงาน ทำให้กระบวนการทำงานเป็นระบบ เห็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้เห็นกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญหรือที่เรียกว่าเป็น ชุมชนนักปฏิบัติ (community of practice: CoPs) และเริ่มยกระดับการทำงานความรู้จากเครือข่ายในแนวนอนคือชาวบ้านด้วยกัน มาเป็นเครือข่ายในแนวตั้ง โดยเริ่มมีภาครัฐ ภาคการเมืองเข้ามาร่วมทำงาน ผลักดันให้เกิดเป็นนโยบายสาธารณะเพื่อท้องถิ่น
กรณีที่ 2 บทเรียนการจัดการความรู้ที่โรงพยาบาลบ้านตาก
โรงพยาบาลบ้านตากสามารถดำเงินงานขององค์กรที่มีความซับซ้อน
มีหลายบทบาทหน้าที่ที่สัมพันธ์กัน
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายหลักเพียงข้อเดียวคือการจัดบริการสุขภาพที่ดีที่สุดแก่ชุมชน
ได้อย่างผสมกลมกลืน
การจัดการความรู้ในโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกผนวกเป็นเนื้อเดียวกับระบบงานของโรงพยาบาล
โดยมีจุดเน้นที่เชื่อในการเรียนรู้จากการปฏิบัติ อาทิ เช่น
การพัฒนาซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการของโรงพยาบาล (hospital OS)
โดยบุคลากรของโรงพยาบาลเอง ให้สามารถใช้งานได้จริง
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่ผู้ปฏิบัติ
มีการจดบันทึกและพัฒนาศักยภาพของ “คุณอำนวย” ขึ้นมา
กระบวนการดังกล่าวทำให้การดำเนินงานมีความเป็นพลวัต คือ
มีการทดลองปฏิบัติจริงและปรับใช้จนมีประสิทธิภาพสูง
หรือการนำเอาพยาบาลที่มีทักษะสูง มาถ่ายทอดความรู้ฝังลึก (tacit
knowledge) แก่รุ่นน้อง
ช่วยพัฒนาศักยภาพของคนทำงานควบคู่ไปกับการเผยแพร่ขุมความรู้
(knowledge diffusion)
เมื่อพัฒนาไประยะหนึ่งก็เกิดเป็นชุมชนนักปฏิบัติ (community of
practice: CoPs) ที่สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามกลุ่ม
ข้ามหน่วยงานทำให้เกิดการยกระดับการเรียนรู้ให้สูงขึ้น
บทสรุปของการจัดการความรู้ในทั้งสองกรณีศึกษา
ทำให้เห็นว่าแม้จะต่างเรื่อง ต่างสภาพการทำงาน
การจัดการความรู้เริ่มจากการตั้งโจทย์หรือเป้าหมายของตนเองให้ชัดเจนว่าปัญหาคืออะไร
และแสวงหาความรู้ในตัวคน คือ เชื่อมันว่ามีคนในชุมชนหรือในองค์กร
ที่มีความสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ หรือที่เรียกว่ามีความรู้ฝังลึก
และเมื่อคนเหล่านี้มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันความรู้
นำไปสู่การปฏิบัติ เรียนรู้ปรับเปลี่ยน
จนเกิดเป็นขุมความรู้นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นเช่นนี้อย่างเป็นพลวัตไม่รู้จบ
สรุปความรู้จากการปาฐกถาพิเศษ “การจัดการความรู้ กระบวนการปลดปล่อยมนุษย์สู่ศักยภาพ เสรีภาพและความสุข” โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้เริ่มต้นชี้ให้เห็นว่า
สมมุติฐานที่ว่าเมื่อมนุษย์มีสมองที่ประเสริฐที่สุด
มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างไม่มีขีดจำกัด
สามารถพัฒนาไปสู่บุคคลและสังคมที่ดีได้นั้นดูจะไม่เป็นจริงในสภาพของสังคมที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนที่ดูเหมือนกักขังมนุษย์อยู่
เปรียบเหมือน “คุกที่มองไม่เห็น” หรือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
มีผลให้คนสิ้นหวังและไม่อยากเรียนรู้
นำไปสู่ปัญหาสังคมหลายประการในทุกระดับ
อาจารย์จึงมีความเชื่อว่าการจัดการความรู้ซึ่งเป็นกระบวนการทางปัญญานั้นจะช่วยทำให้หลุดไปจากการคุมขังนั้นได้
โดยเสนอให้ใช้หลักคุณธรรม 8 ประการของการจัดการความรู้ ได้แก่
1. ศีลธรรมพื้นฐาน คือ เคารพความรู้ในตัวคน คนทุกคนเป็นคนมีศักดิ์ศรี
มีเกียรติ โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อย คนยากคนจน
2. การไม่ใช้อำนาจ
เพราะการใช้อำนาจจะไปบดบังกระบวนการทางธรรมชาติ
แต่การจัดการความรู้จะไปส่งเสริมกระบวนการทางธรรมชาติ
ให้มีการเรียนรู้มีการแลกเปลี่ยน มีการงอกงามไปตามธรรมชาติ
3. การฟังอย่างลึก (deep listening) จะทำให้รู้ความรู้ภายในตัวคนได้
การฟังอย่างลึกนั้นเป็นการเคารพคนนั้น เมื่อเราได้รับฟังอะไรมา
แล้วนำมาพิจารณาอย่างเงียบๆ มีสติ เมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญา
คิดเชื่อมโยง ทั้งอดีต ปัจจุบัน ทำให้เห็นอนาคต
4. วิธีการทางบวก คือไม่มุ่งเน้นแต่การแก้ทุกข์เพียงอย่างเดียว
อะไรที่ทำดี ที่จะทำให้เกิดพลังเพิ่มขึ้นก็ถือว่าใช้ได้
5. เจริญธรรม 4 ประการที่เกื้อหนุนในการเรียนรู้ร่วมกัน ได้แก่
ความเอื้ออาทรต่อกัน มีความเปิดเผย มีความจริงใจ
ความไว้วางใจกัน
6. การปฎิบัติ เป็นหัวใจของการจัดการความรู้
7. ถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและสังคม
โดยเปลี่ยนจากโครงสร้างทางดิ่งแบบใช้อำนาจ
แบบตัวใครตัวมันไม่เกี่ยวข้องกัน ทอดทิ้งกัน
มาทำให้เกิดการสร้างเครือข่าย ระหว่างคนกับคน คนกับกลุ่ม
กลุ่มกับกลุ่มทุกองค์กรในสังคม
8. การเจริญสติ คือการรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งในการฟังผู้อื่น
เพื่อจะให้ความรู้ในตัวออกมา
และการเจริญสติไปด้วยในการทำงาน จนเกิดเป็นการเจริญสติของกลุ่ม
(collective mindfulness)
ท้ายที่สุดศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ
วะสีได้เสนอแนวคิดที่เชื่อมโยงคุณธรรมทั้ง 8 ประการ กับการพัฒนาทั้ง 4
ด้าน (กาย จิต สังคม และปัญญา) เข้าด้วยกันและเน้นให้พัฒนาทั้ง 4
อย่างบูรณาการ โดย เรื่องกายหรือเรื่องวัตถุ เน้นในเรื่องสุขภาพ
เรื่องทักษะ เรื่องความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เรื่องจิต
เน้นการเคารพคนอื่น มีความเมตตากรุณา มีความมั่นใจ มีสติ
เรื่องสังคม เน้นศีลธรรมพื้นฐาน การร่วมคิดร่วมทำ
การปรับโครงสร้างสังคมจากแนวดิ่งสู่เครือข่ายไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
และปัญญา เน้นการนึกถึงผู้อื่น
การเข้าถึงธรรมชาติโดยไม่ใช้อำนาจ
ใช้การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ
ไม่มีความเห็น