หวนคิดคำนึงถึง นักกวีน้อย ในปีพ.ศ.2529หลวงพ่อไชยยศ ไชยโสโรงเรียนชุมชนพุทธเกษตรขึ้นที่บ้านแม่ลามอง อ.แม่ลาน้อย และย้ายมาตั้งที่เหมืองแร่ดีบุกที่บ้านแม่นางิ้ว โดยร่วมกับอาจารย์ประทีปอึ้งทรงธรรม ร่วมกันจัดตั้งที่อำเภอขุนยวมทำการเปิดรับเด็กที่มีปัญหาทางสังคมมาให้การศึกษาทางด้านการฝึกการพึ่งตนเองและและให้ธรรมะทางกายเป็นเกษตรธรรมชาติการผลิตข้าวให้พอกินวันนี้ ทำไมถึงต้องหวนคิดถึงนักกวีน้อย มีบทกวีหนึ่งที่เด็กเขาได้สะท้อนออกมาในระหว่างเรียนซึ่งมีเนื้อหาดังนี้ ข้าวหนึ่งเม็ดได้มาไม่ง่าย ทานข้าวในจานคิดถึงที่มา โปรดอย่าเหลือทิ้ง เป็นบาปหนักหนา ถางหญ้ากลางแดดจ้า หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เหงื่อไหลรินอาบหน้า ความทุกข์จากชาวนา พระอาทิตย์พระจันทร์ต้องส่องแสง หล่อเลี้ยงจากอากาศ เติบโตได้กว่าร้อยวัน จึงเก็บเกี่ยวยามสมควร ผู้แต่งคือเด็กชาย หล้า จะนะ ชั้น ป. 3 เป็นเด็กกระเหรี่ยงอยู่ที่จังหวัดเชียงรายได้มาเรียนอยู่ที่นี่ เด็กที่นี่จะมีการสวดปัจจเวกทุกครั้งก่อนรับประทานข้าว และมีการทำการเกษตรมีการทำนา ปลูกพืชนา นา ชนิด เด็กที่นี่ต้องทำนาเป็นทุกคน เด็กกินข้าวจะต้องให้หมดจานกันทุกคน กลอนบทนี้ได้สะท้อนวิถีชีวิตของเด็ก และครูโรงเรียนพุทธเกษตรเป็นอย่างดีแม้เวลาจะผ่านไปนานก็ตามเนื้อหาในบทกวียังเป็นอมตะอยู่ตลอดกาล
พอเห็นชื่อกวีน้อยร้อยภาษา
จึงเข้ามาอ่านดูรู้เหตุผล
ว่าทำไมเด็กคนนี้เก่งชอบกล
แต่งแยบยลมีความหมายน่าสนใจ
กวีน้อยเหมือนฉายาครูเรียกหนู
เพราะคุณครูเห็นว่าหนูชอบถูไถ
ถูในเรื่องบทกลอนอ้อนอำไพ
ส่วนเรื่องไถไม่ใช่ควายในทุ่งนา
เด็กตัวน้อยใช้ภาษาน่าสนนัก
รู้จักรักร้อยเรียงเรียกภาษา
ให้หยดย้อยเป็นเพชรน้ำอักษรา
น้องจิมาแต่งด้วยคนเผื่อจะดัง
* สวัสดีเจ้าค่ะ คุณครูวัลลภ น้องจิแวะมาแต่งกลอนด้วย คิคิ กวีน้อยก็เป็นฉายาน้องจิเหมือนกัน ก็เลยแวะเข้ามาดู คิคิ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ
เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ----> น้องจิ ^_^
.สวัสดีครันน้องจิ .น้องจิมีฝีมือเยี่ยมยอดมากต้องเป็นนักเขียนและนักกวีที่เก่งมากเลย .เมื่อก่อนครูเป็นสมาชิกกลุ่มวรรณกรรมลมเหนือซึ่งมีพี่แสงดาว ศัรทธามั่นเป็นหัวเรือใหญ่ แต่ตอนหลังก็ได้แยกกันไปทำงานครูก็เลยไม่ได้แต่งกลอนไม่ได้เขียนหนังสือตอนนี้สู้น้องจิไม่ได้แล้ว .ก็ขอให้กำลังใจน้องจิกทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง