สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาที่ประกอบด้วย ( 1 ) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา ( 2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน ( 3 ) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
( 4 ) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ ขอให้ท่านเสนอตัวอย่างรายงานในระบบสารสนเทศเหล่านี้มาอย่างละหนึ่งรายงาน พร้อมทั้งอธิบายว่ารายงานเหล่านี้ต้องการข้อมูลอะไรบ้าง และจำนำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาได้อย่างไร
สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาสารสนเทศ
สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ประกอบด้วย
( 1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
(2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
(3)ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
(4) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
ตัวอย่างรายงานระบบสารสนเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
1.1 ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา
1.2 สภาพการบริหารและการจัดการตามโครงสร้างการบริหารและภารกิจ
1.3 ศักยภาพของสถานศึกษา
1.4 ความต้องการของสถานศึกษา
1.5 แนวโน้มการพัฒนาท้องถิ่น
1.6 แนวทางการจัดการศึกษา
โรงเรียนบ้านห้วยปริก ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลห้วยปริก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ข้อมูลนักเรียน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 185 คน สารสนเทศตามความต้องการในการพัฒนา จากการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการในการพัฒนา ครู บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนและผู้เกี่ยวข้อง โดยการใช้แบบทดสอบถามความต้องการในการพัฒนาโรงเรียน การพัฒนาระบบบริหารและการจัดการ
อันดับ 1 โรงเรียนจัดวางระบบการบริหารจัดการที่ดี บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกระบวนการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาโรงเรียนบ่งบอกถึงการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบคล่องตัว ตลอดจนวัฒนธรรมองค์กรที่ผนึกกำลังสร้างสรรค์แบบกัลยาณมิตร
อันดับ 2 โรงเรียนพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เข้มแข็งลดความเสี่ยงขจัดภัยอุปสรรคที่ก่อปัญหาให้นักเรียน ตลอดจนการช่วยเหลือส่งเสริมนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
อันดับ 3 โรงเรียนมีแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการที่เกิดจากการมีส่วนร่วม และการยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเอกลักษณ์ตามความต้องการของชุมชนและความสอดคล้องกับเจตนารมณ์และทิศทางของโรงเรียน
2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
2.2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน
2.3 ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน
2.4 รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน
2.3 ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน โครงการการทำปุ๋ยหมักจากธรรมชาติ (โบกาฉิ)กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2550
ผู้จัดทำโครงงาน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
อาจารย์ที่ปรึกษา นายเสริม สุขเยาว์
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ
ในปัจจุบันสภาพแวดล้อมได้ถูกทำลายโดยสารเคมีมากมายและเป็นพิษต่อร่างกายเป็นอย่างมากเกิดโรคภัยร้ายแรงเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โครงงานการทำปุ๋ยหมักจากธรรมชาติ (โบการฉิ) จึงเกิดขึ้นเพื่อมุ่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่และไม่มีค่า คือมูลสัตว์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และมีมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมาชิกในครอบครัว สามารถช่วยเหลือกันได้เป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัสและเป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียง
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1 เพื่อให้ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น (ลดต้นทุนในการผลิต )
2.เพื่อสร้างมูลค่าของผลผลิตจากวัสดุที่ไร้ค่า
3. เพื่อแก้ปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย
4. เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5. เพื่อเป็นการพัฒนาอาชีพของคนในชุมชน
กิจกรรมการดำเนินงาน
1. การเลือกวัตถุดิบในการทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ
2. ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ
3. การวางแผนการจัดจำหน่าย
4. การทำบัญชีรับ- จ่าย
ประโยชน์ที่ได้รับ
สามารถนำความรู้ที่ได้จากการนำโครงการทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ (โบกาฉิ ) ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน สร้างรายได้ให้กับครอบครัวและเป็นหลัก
2. ด้านการพัฒนาผู้เรียน
อันดับ 1 นักเรียนทุกคนใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพนักเรียนกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ
อันดับ 2 นักเรียนทุกคนอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง นักเรียนทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ตามที่โรงเรียนกำหนด
อันดับ 3 นักเรียนทุกคนใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
3.1 หลักสูตรและการเรียนการสอน
3.2 การวัดและประเมินผลการเรียน
3.3 การพัฒนากิจกรรมแนะแนว
3.4 การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.5 การวิจัยในชั้นเรียนโครงการวิจัยในชั้นเรียน
1 ชี่อเรื่องงานวิจัย การสร้างชุดฝึกทักษะการอ่านหนังสือไม่ออกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยปริก
2 คณะผู้วิจัย ครูกลุ่มสาระภาษาไทย
3 ความสำคัญของปัญหาจากการประเมินของ สมศ.พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจองนักเรียนต่ำและมีประสิทธิภาพด้านการอ่านของนักเรียนยังอยู่ในระดับปรับปรุง สาเหตุเนื่องจากนักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก จึงส่งผลกระทบต่อการเรียนในรายวิชาต่างๆ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำไปด้วย ผู้วิจัยมองเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้จัดทำวิจัยเรื่องนี้เพื่อแก้ปัญหานักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก โดยจัดทำชุดฝึกทักษะการอ่านหนังสือภาษาไทยของนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 3
4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
4.1 เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านหนังสือภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
4.2 เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาไทย ระดับชันประถมศึกษาปีที่ 3
5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
5.1 ได้ชุดทักษะการอ่าน จำนวน 20 ชุด
5.2 นักเรียนได้ชุดฝึกทักษะ สามารถอ่านหนังสือออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ของนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก หมายถึงนักเรียนที่ครูผู้สอนภาษาไทยปรับพื้นฐานระบุว่าเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก
6. ขอบเขตของการวิจัย ศึกษาเฉพาะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่อ่านหนังสือไม่ออก โรงเรียนบ้านห้วยปริก
7. ข้อตกลงเบื้องต้น -
8. กรอบแนวคิดในการวิจัย
นิยามคำศัพท์
ชุดฝึกทักษะการอ่าน หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่าน ที่ผู้วิจัยทำขึ้น ให้นักเรียนที่อ่านหนังสือ ใช้ฝึกการอ่าน
นักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก หมายถึง นักเรียนที่ครูผู้สอนภาษาไทยปรับพื้นฐานระบุว่าเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก
9. ระเบียบวิธีวิจัย วิธีการดำเนินการวิจัย
9.1 พัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านโดยมีขั้นตอนดังนี้
- สร้างชุดฝึกทักษะการอ่าน
- ตรวจสอบผล
- ปรับปรุงจนได้แบบฝึกที่มีคุณภาพ
9.2 ประชากร คือนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยปริก
9.3 ตัวแปรที่ศึกษาค้นคว้า ตัวแปรต้น ชุดฝึกทักษะการอ่าน ตัวแปรตาม ความสามารถในการอ่านของนักเรียน
9.4 วิธีการรวบรวมข้อมูล
- ข้อมูลนักเรียนที่อ่านไม่ออก
- นักเรียนที่ครูสอนปรับพื้นฐาน ป.3 ระบุว่าเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก
- ข้อมูลผลการอ่านของนักเรียน
- แบบฝึกทักษะการอ่านของนักเรียน
9.5 เครื่องมือการวิจัย
- แบบสัมภาษณ์สาเหตุการอ่านหนังสือไม่ออก
- แบบสอบถามข้อมูลนักเรียน
- แบบบันทึกผลการอ่าน
9.6 การวิเคราะห์ข้อมูล
- หาค่าเฉลี่ยคะแนนการอ่านของนักเรียนแต่ละคน
- หาค่าร้อยละของนักเรียนที่อ่านหนังสือออกตามเกณฑ์ที่กำหนด
9.7 การรายงานข้อมูล
- ใช้ตาราง
- ใช้แผนภูมิ
10. ระยะเวลาและแผนการดำเนินงาน
4. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
4.1 สภาพบรรยากาศการเรียนรู้
4.2 ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวก
4.3 การพัฒนาบุคลากร
4.4 ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองและชุมชนโครงการหลัก โครงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
1. สอดคล้องแผนงานหลักของโรงเรียน
2. สนองยุทศาสตร์ของโรงเรียน
3. ลักษณะโครงการ/ กิจกรรม ต่อเนื่อง
4. แผนกลยุทธ์สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5. สนองกลยุทธ์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2
6. สอดคล้องกับมาตรฐาน สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาด้าน
การเรียนการสอน
7. หลักการและเหตุผล
การปฏิรูปการศึกษามีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆที่ต้องให้บุคลากรต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้รอบรองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงต้องจัดให้มีโครงการนี้เพื่อให้บุคลากรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนำความรู้มาใช้ปฏิบัติให้เหมาะสมและมีบุคลากรอย่างเพียงพอในหน่วยงาน จากการสำรวจความต้องการการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในระดับมากเพื่อให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนได้มีความรู้ความสามารถในด้านจัดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการอบรงเชิงปฏิบัติการเพื่อครูได้มีผลงานในการพัฒนาคุณภาพ มีประสิทธิภาพและได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
8. วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้มีระบบการนิเทศภายใน
2. เพื่อให้ครูได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้
3. ส่งเสริมให้ครูได้พัฒนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์วิชาชีพ ใน
รูปแบบวิธีการต่างๆ เช่นการอบรมเชิงปฏิบัติการ
4. เพื่อส่งเสริมให้ครูได้ผลงานในการพัฒนาคุณภาพ ตลอดจนได้รับการยกย่องเชิด
ชูเกียรติ
9. เป้าหมาย
1. ด้านปริมาณ
1.1 ครูทุกคนได้รับการประชุม ,อบรม สัมมนา
1.2 มีครูจ้างเพียงพอตามความต้องการของโรงเรียน
2. ด้านคุณภาพ
ครูทุกคนได้รับการส่งเสริมพัฒนาในด้านการอบรมศึกษาดูงานอย่างทั่วถึงและมีอัตราส่วนครู : นักเรียนอย่างเพียงพอ
10. ตัวชี้วัด
อัตราส่วนครู : นักเรียน , ร้อยละของครู / บุคลากรที่ได้ปฏิบัติงานตรงตามความรู้ความสามารถ
...............................................................................................................................อ้างอิง
แผนปฏิบัติการประจำปีการศึกษา 2550 โรงเรียนบ้านห้วยปริก
ไม่มีความเห็น