ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ก็มักจะสอนให้ลูกเล่าเรียนหนังสือ เป็นเจ้าเป็นนายคน อย่ามาลำบากทำสวนทำไร่ จึงทำให้ไม่มีคนหนุ่มสาวที่ไหนอยากอยู่ในหมู่บ้าน หากต้องการเปลี่ยนค่านิยมเช่นนี้ก็ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ พ่อแม่ต้องสอนลูกให้รักการเกษตร และที่โรงเรียนก็ควรจะมีหลักสูตรการเกษตร สอนให้เด็กรักบ้านเกิด ค่านิยมก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน แนวความคิดค่านิยมเก่า ๆ ที่ผิด ๆ จะได้ค่อย ๆ หลุดหายไปจากสังคมเสียที
กรุงเทพฯ น่ะหรือ...หนุ่ม สาว ที่ไหนๆก็อยากจะไปสัมผัส อย่างน้อยสักครั้ง ค่านิยมนี้ ไม่เฉพาะชนบทในเมืองไทยหรอก แม้ในประเทศลาว ก็ใฝ่ฝันเช่นเดียวกัน ไปดูแสงสี ไปใช้ชีวิตใหม่ ๆ ได้แต่งตัวสวย ๆ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะแยะมากมาย เช่นเดียวกับ สุพรรษา สินธุรักษ์ หรือ น้องษา เยาวชนสาว บ้านหนองสองหาง ต.กุดบาก อ.กุดบาก จ.สกลนคร เมื่อย้อนไป 5 ปีก่อน น้องษาใฝ่ฝันอยากจะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ เขาไปกัน ใจของเธอแทบจะไม่อยู่ที่บ้าน พ่อแม่ชวนไปทำนา ทำสวน ก็ไม่สนใจ “ทำไปทำไม งานหนัก ตากแดดผิวดำ สู้ไปทำงานกรุงเทพฯ ดีกว่า ได้แต่งตัวสวย ๆ ได้เดินเที่ยวในห้างแอร์เย็นฉ่ำ” น้องษา ไม่อยากทำสวนทำไร่อีกต่อไปแล้ว และเมื่อเรียนจบ ม. 6 จึงเดินตามรอยทางเดิม ๆ ของคนหนุ่มสาวชนบทยุคนี้ เข้ากรุงเพทฯ ไปขายแรงงาน
ชีวิตในกรุงเทพฯ มีเวลาว่างและสนุกสนานอย่างที่ใฝ่ฝันจริง แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิดทั้งหมด น้องษา ทำหลายงาน โดยเริ่มจากรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็กเล็ก งานร้านซุปเปอร์มาร์เกต จะเปลี่ยนงานเมื่อพบว่างานเดิมมีปัญหา และมาจบลงที่งานโรงพิมพ์ งานนี้ทำให้ น้องษา สนุกมีเพื่อนฝูงมากมาย ได้แต่งตัวสวย ๆ ทำงานอยู่ในห้องแอร์ไม่ต้องตากแดด แต่ทว่าค่าครองชีพที่สูงมากในกรุงเทพฯทำให้ น้องษาเริ่มไม่สนุก แม้จะมีรายได้ เห็นเม็ดเงินที่แน่นอนทุกเดือน แต่ไม่พอรายจ่าย ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าเครื่องสำอาง และอื่น ๆ อีกจิปาถะ เมื่อถึงปลายเดือน ต้องมานั่งกังวลว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงินพอกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มี สุดท้าย ก็ต้องขอเงินจากทางบ้าน ชีวิตในกรุงเพทฯ ก็ไม่ง่าย ทุก ๆ เช้าต้องรีบตื่นเพื่อเดินทางไปทำงานให้ทันเวลา ต้องอดทนทำงานตามคำสั่งเจ้านาย ทำไม่ดีก็ถูกดุว่า จิตใจของเธอจึงเริ่มสับสน ตัวเองเข้ามาทำงานในกรุงเพทฯเพื่อหารายได้ แต่กลับต้องขอเงินจากทางบ้านมาใช้เพิ่ม ทำไม!
แม้ทำงานในกรุงเพทฯ เมื่อถึงช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนาน ช่วงเกี่ยวข้าว หรือช่วงงานประเพณีทางบ้าน ก็จะเดินทางกลับบ้าน มาพบญาติพี่น้อง ซึ่งทุกครั้งที่กลับมา พ่อแม่จะเฝ้าเรียกร้องให้กลับมาอยู่บ้านเสมอ ๆ แต่ น้องษา ก็ไม่สนใจ ยังยืนยันตามความใฝ่ฝันเดิม คือ ทำงานในกรุงเพทฯต่อไปแม้ว่าจะพบว่าไม่สวยเหมือนฝันทั้งหมดก็ตาม
แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลง พ่อป่วยและอยากให้ น้องษา กลับบ้านมาช่วยดูแล ในใจนั้นไม่คิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านอย่างถาวร การมาดูแลพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูมา เป็นเรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด น้องษาจึงยอมลาออกจากงาน เดินทางกลับบ้าน มาดูแลพ่อที่ป่วย แต่มาแบบฝืนใจ เพราะไม่อยากทำงานหนัก ไม่อยากตากแดด กลัวดำ ไม่สวย และคิดว่าเมื่อพ่อหายป่วยก็จะกลับไปหางานทำที่กรุงเทพอีกครั้ง
เมื่อพ่อป่วยไม่สามารถที่จะทำนาทำสวนได้อีกต่อไป น้องษา จึงจำใจเข้ามาดูแลสานต่อจากสิ่งที่พ่อทำไว้ จึงได้พบ ได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองไม่เคยชอบ กลับทำให้มีผลผลิตมีรายได้ และทำให้เข้าใจว่าเกษตรผสมผสานไม่ใช่การเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยว น้องษามีงานในสวนทุกวัน และก็ไม่ใช่งานหนักอย่างที่คิด ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเหมือนช่วงที่ทำงานอยู่ในกรุงเพทฯ วัน ๆ อยู่แบบสบาย ๆ แค่คอยเก็บเกี่ยวผลผลิตที่พ่อเธอปลูกไว้หลากหลายในไร่ในสวน ก็มีกิน ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ ไม่ต้องดิ้นรนกังวลกับค่าใช้จ่ายปลายเดือนว่าจะพอใช้หรือเปล่า ผลผลิตที่เหลือก็เก็บเอาไปขาย มีรายได้ อาจจะเห็นตัวเงินไม่มากเมื่อเทียบกับรายได้จากการทำงานเป็นลูกจ้างในกรุงเทพฯ แต่เงินที่ได้มาก็ไม่ต้องไปจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ารถ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นเงินเก็บล้วน ๆ และยังมีอิสระ ไม่ต้องถูกเจ้านายดุด่า อยากทำอะไรก็ทำตามแบบที่ตัวเองพอใจ พอเพียง น้องษา ไม่ได้อยากแต่งตัวสวย ๆ ให้ใครดูอีกต่อไป เพราะไม่รู้จะแต่งไปให้ใครดู แต่ก็ดูสดใสสะสวย สวยงามแบบธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องเติมเสริมแต่งใด ๆ
นอกจากการทำเกษตรผสมผสาน น้องษา ยังพอมีเวลาเหลือ จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายอินแปง ในโครงการภูพานเขียวขจี ได้รับมอบหมายให้เป็นนักนิเวศวิทยาชุมชนหนึ่งใน 80 คน รับผิดชอบศึกษานิเวศวิทยาในพื้นที่ 80 ตำบล ทำให้มีเพื่อนร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และได้พบว่า ชีวิตในชนบทที่ตัวเองเคยดูถูก มีหลาย ๆ สิ่งที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้ และมีประโยชน์มากมาย ที่ในอดีตตัว น้องษา เองไม่เคยสนใจ ไม่เคยได้คิด ได้รู้ มาก่อนทั้งที่เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น ชื่อต้นไม้ และประโยชน์ของต้นไม้ชนิดต่างๆ เมื่อมีส่วนร่วมในการศึกษา จึงรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และพอใจกับการใช้ชีวิตอยู่กับบ้านเกิด โดยไม่คิดที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ อีกต่อไป
เธอให้แง่คิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่านิยมของการไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯว่า....”ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ก็มักจะสอนให้ลูกเล่าเรียนหนังสือ เป็นเจ้าเป็นนายคน อย่ามาลำบากทำสวนทำไร่ จึงทำให้ไม่มีคนหนุ่มสาวที่ไหนอยากอยู่ในหมู่บ้าน หากต้องการเปลี่ยนค่านิยมเช่นนี้ก็ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ พ่อแม่ต้องสอนลูกให้รักการเกษตร และที่โรงเรียนก็ควรจะมีหลักสูตรการเกษตร สอนให้เด็กรักบ้านเกิด ค่านิยมก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน แนวความคิดค่านิยมเก่า ๆ ที่ผิด ๆ จะได้ค่อย ๆ หลุดหายไปจากสังคมเสียที”
เราไม่ได้เรียกร้องให้หนุ่มสาวทุกคนกลับบ้านเกิด เพราะเงื่อนไขแต่ละคน แต่ละครอบครัวแตกต่างกัน แต่หากจะเหลียวหลังดูกำพืดเราบ้าง และลองพิจารณาอย่างที่น้องษาพิจารณาแล้ว เห็นความจริงแล้วนั่นแหละ ชนบทบ้านเกิดยินดีต้อนรับกลับถิ่นของเรา....
-------------------
ข้อมูลบางส่วนจากเอกสาร “ฅนฟื้นฟู” โครงการ คฟป. เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2549
จริงๆค่ะพี่บู๊ท รุ่นหนิงก็ยังได้ยินค่ะ ว่า พ่อแม่ก็มักจะสอนให้ลูกเล่าเรียนหนังสือ เป็นเจ้าเป็นนายคน อย่ามาลำบากทำนา
เฮ้อ...หารู้ไม่ เป็นมนุษย์เงินเดือนนี่ ลำบากทั้งกายและใจ กว่าทำนาอีกนะคะ
อิอิ..น้องหนิง งานทุกอาชีพมีปัญหา อุปสรรคทั้งนั้นแหละ มากน้อย หนักเบา ชอบ ไม่ชอบ เท่านั้น
จริงๆมนุษย์เงินเดือนก็วุ่นๆอย่างน้องหนิงว่านั่นแหละ ระเบียบ ข้อบังคับมากมาย มากเกินไป และมีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ทำไงได้ มันก้าวมาแล้วน่ะครับ