ถ้าถามคนไทยในภาวะปัจจุบันคิดอย่างไรกับการที่จะมีรัฐบาลใหม่ซึ่งมาจากการเลือกตั้งเมื่อ 23 ธ.ค.50
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนจะตอบเหมือนกันว่า เราทำตามกระบวนการประชาธิปไตยที่นานาชาติยอมรับ ส่วนผลได้ต่อความเจริญและพัฒนาประเทศที่จะมาจากรัฐบาลเลือกตั้งนั้นไม่สามารถเพิ่มองศาหรือบ่งชี้ถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหรือประเทศได้
ผู้เขียนได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายกับสถาบันพระปกเกล้าหลายครั้งในช่วงประมาณไม่น้อยกว่า 5 ปีมานี้ สิ่งที่คิดถึงประเทศไทยและส่งต่อความคิดไปยังผู้เข้ารับการอบรมโดยเฉพาะเรื่อง “ทิศทางอนาคตของประเทศไทย” ควรที่จะได้พิจารณาในพาราไดม์ต่อไปนี้
สิ่งแรก ที่สำคัญในทิศทางอนาคตของประเทศไทย คือ
- Thai Thai Culture หรือวัฒนธรรมแบบไทยๆ ซึ่งเราไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า อะไรคือวัฒนธรรมไทยหรือวัฒนธรรมไทยอะไรที่จะต้องสร้างเพื่อให้เกิดความรักชาติหรือมีความเป็นชาตินิยมที่จะทำและสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อการเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
แต่วัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่ไม่ส่งเสริมและพัฒนาประเทศคือ วัฒนธรรมไทยพื้นฐานที่ หยั่งลึกถึงสำนึกบุญคุณของคนที่ให้สิ่งของและสินจ้างรางวัลโดยไม่สนใจว่าสิ่งของและสินจ้างรางวัลนั้นผู้ที่ให้จะได้มาอย่างไร ผิดชอบชั่วดีหรือไม่
ความเข้าใจผิดที่คิดว่า เมื่อใครมาอยู่บนฝืนแผ่นดินไทยแล้วจะมีความเป็นไทยทุกคน ซึ่งสิ่งนี้ไม่จริงแล้วในปัจจุบัน
เราจะพบว่าใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาด้านเชื้อชาติและศาสนา ความเป็นไทยไม่สามารถจะทำให้คนหัวรุนแรง เยาวชนรุ่นใหม่ที่ถูกปลูกฝังในทิศทางที่ผิดเกี่ยวกับประเทศไทย ขาดการดูแลด้านการศึกษาจากส่วนกลาง สะท้อนได้ชัดถึงความจริงข้อนี้
ถ้าไปดูที่เกาะสมุยทุกวันนี้แทบจะเป็นวัฒนธรรมตะวันตกจนคนไทยที่ไปเที่ยวจะรู้สึกว่ากำลังอยู่ต่างประเทศ
เราต้องสร้างวัฒนธรรมไทยที่จะเข้าต่อต้านให้ได้
วัฒนธรรมไทยนั้นต้องเป็น “Global-mindset” ถึงจะต่อต้านทานกระแสวัฒน-ธรรมตะวันตกและอื่นๆ ไม่ว่าจีน อินเดีย ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่จะกำลังใช้แนวคิด “Creolization” ที่หมายถึงการกลืนกินชาติอื่นด้วยวัฒนธรรมของชาติผู้รุกราน
สิ่งสำคัญ อย่างที่สอง Learning to Fly
ประเทศไทยเราขาดความรู้ Lack of Knowledge (K)
การพัฒนาประเทศไทยไม่ต่ำกว่าร้อยปีนับตั้งแต่การมีระบบการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน คงต้องยอมรับว่า ระบบการศึกษาของเราหลงในวังวนเป็นดังที่ท่านพุทธทาสพูดไว้ว่า “เสมือนสุนัขวิ่งไล่งับหางมันเอง”
การปฏิรูปการศึกษาของเราชี้ชัดว่า
- ระบบการศึกษาที่ผ่านมาไม่ได้สร้างให้คนคิดได้เอง (Self-Thinking) สิ่งที่สะท้อนชัดที่สุดจากหลายๆ จังหวัดของประเทศไทย เราเลือกคนที่จะมาเป็นตัวแทนเรา จากคนที่ให้สิ่งของหรือสินจ้างรางวัลโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจาก “สำนึกในบุญคุณ”
- ระบบการศึกษาตกอยู่กับ “กลุ่มคนที่กำหนดนโยบาย” หรือ Policy Maker ที่คิดแบบตะวันตก บวกกับการปกป้องสถานภาพทางการศึกษาของตน เช่น ไม่อยากให้มีใครขึ้นมามีวุฒิเท่ากับตนเอง มีตำแหน่งทางวิชาการเหมือนตนเองจึงกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะเข้าสู่สถานภาพทางการศึกษาที่เป็นได้เฉพาะกลุ่มของตนเองหรือดูเหมือนเปิดกว้างแต่ในทางปฏิบัติแล้วทำได้ยากยิ่ง
- ระบบการศึกษาที่ติดอยู่กับการตรวจสอบทางเอกสาร จะมีการกำหนดตัวชี้วัด การทำรายงาน การจัดทำเอกสาร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ช่วยให้การศึกษาของชาติพัฒนา แต่กลายเป็นการศึกษาด้วยระบบเอกสารและการตรวจสอบ
การศึกษาในทิศทางใหม่จะต้องสอนให้บินได้ด้วยตัวเอง-Learning to Fly
การศึกษาจะต้องมีอิสระที่จะเรียนรู้ จะต้องไม่มีการปิดกั้นของการเกิดระบบและการพัฒนาการศึกษา ที่สำคัญมากที่สุดคือ จะต้องสร้างองค์ความรู้ (Body of Knowledge) ที่เป็นของเราขึ้นมาเอง เรียนรู้จากตะวันตกและชาติที่เก่งกว่า แต่สุดท้ายจะต้องสร้างเองได้ ตราบใดที่การศึกษาของเราเป็นการศึกษาและเรียนรู้ที่จะต้องสำนึกในบุญคุณจากสิ่งของและสินจ้างรางวัลประเทศไทยจะไม่สามารถพัฒนาไปสู่การแข่งขันในเวทีโลกได้
สุดท้าย Differentiate การที่เราอยู่บนกรอบความคิดของ Determination คือ รัฐบาลหรือนายทุนพรรคการเมือง เถ้าแก่นอกบ้าน เป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ
คนไทยเราต้องไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ในชั่วลัดนิ้วมือหรอกครับ!
นักธุรกิจและคนไทยเราจะต้องคิดและทำธุรกิจแตกต่างไปจากเดิม เชื่อในกำลังและศักยภาพของธุรกิจที่จะแข่งขันได้แม้จะยากลำบากก็ต้องทำ เพราะหากให้ใครมากำหนดความเป็นตายของธุรกิจเราจะต้องเสียค่าโสหุ้ยและสิ่งตอบแทนที่ไม่อาจตีมูลค่าได้ ซึ่งเราได้เห็นมาแล้วในทศวรรษนี้
ผู้เขียนเชื่อใน 3 สิ่งนี้ว่าสำคัญมากต่อทิศทางอนาคตของประเทศไทย ถ้าไม่ทำหรือไม่แก้ไขเราจะไม่มีโอกาสที่จะลงสู่ลู่การแข่งขันในเวทีโลกได้ครับ
ไม่มีความเห็น