วรรคทองของครูกลอนสุนทรภู่
วรรคทอง ลองอ่านแล้วจะหวนคิดถึงตอนเรียนหรือตอนอ่านของกลอนสุนทรภู่ครูกวีที่แต่ละเรื่องที่แต่งจะมีจุดเด่นที่ทำให้ผู้อ่านจำได้เสมอ เพราะมีการใช้สัมผัสไพเราะ และทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพพจน์ได้เป็นอย่างดี
นิราศภูเขาทอง
แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 2
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด |
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร |
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น |
ความไม่แน่นอนของเกียรติยศชื่อเสียง
๏เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ |
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา |
สิ้นแผ่นดินลิ้มรสสุคนธา |
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ |
สุราพาชีวิตตกอับ
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง |
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา |
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย |
เล่นคำ "เมา"
๏ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก |
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน |
ถึงเมาเหล้าเช้าสายหายก็ไป |
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน |
เชื่อมโยงสิ่งที่พบเห็นกับความรัก
๏เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง |
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ |
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ |
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย |
ชีวิตคราตกอับ
๏เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ |
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย |
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ |
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา |
ให้ข้อคิดเรื่องการใช้คำพูด
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ |
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร |
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา |
ให้ข้อคิดเรื่องการมองคนอย่ามองที่เปลือกนอก
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด |
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้ |
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน |
อุปมัยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา |
บอกที่มาของชื่อจังหวัดปทุมธานี และแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 2
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า |
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี |
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว |
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง |
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว |
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว |
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ |
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ |
ต้องเที่ยวเตร็จเตร่หาที่อาศัย |
แม้กำเนิดเกิดชาติใดใด |
ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี |
ถึงบ้านงิ้วนำคำว่า"งิ้ว"มาเชื่อมโยงกับศีลข้อ 3
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม |
ดังขวากแซมเสี้มแซกแตกไสว |
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย |
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง |
โวหารภาพจน์ความงามของพืชพรรณน้ำ
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก |
ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย |
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย |
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร |
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก |
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร |
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร |
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา |
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า |
เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา |
กระจับจอกดอกบัวบานผกา |
ดาษดาดูขาวดังดาวพราย |
เจียมตนประมาณตน เมื่อคราตกอับ
มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย |
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน |
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก |
อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล |
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร |
จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ |
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแสก |
เผยอแยกยอดสุดก็หลุดหัก |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก |
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น |
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ |
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น |
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น |
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น |
บอกเหตุที่รำพึงถึงความรัก หญิงอันเป็นที่รักในนิราศขณะที่เป็นพระภิกษุ
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด |
แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย |
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร |
ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา |
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงพะแนงผัด |
สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา |
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา |
ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ |
จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน |
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ |
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย |
นิราศพระบาท
๏เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น |
ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น |
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน |
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล |
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ |
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน |
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน
|
ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง |
๏อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ |
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ |
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน |
จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง |
มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก |
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ |
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง |
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา |
๏ กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก |
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ |
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย |
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย |
๏เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ |
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า |
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา |
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง |
๏พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์ |
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ |
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ |
กินนรร่ำรายเทพประนมกร |
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข |
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร |
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร |
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง |
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย |
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง |
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง |
วิเวกวังเวงในหัวใจครัน |
๏ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา |
ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา |
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา |
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ |
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ |
กงกระทบเขากระจายทลายหมด |
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ |
จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน... |
นิราศเมืองแกลง
๏โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก |
ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม |
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ |
ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน |
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง |
เขาว่าลิงจองหองมันพองขน |
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน |
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง |
๏ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ |
สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง |
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง |
ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม |
๏กระแสงชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด |
ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล |
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป |
นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา |
๏โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน |
ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย |
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย |
เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน |
๏เสียงลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย |
กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย |
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย |
เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง |
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว |
เหมือนตัวพี่เรียกน้องให้หมองหมาง |
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง |
พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ |
นิราศประประธม
๏ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก |
เหลือจักหักจับต้องเป็นของหลวง |
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง |
จะรื่นร่วงเรณูฟูขจร |
๏ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง |
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวสาวสลอน |
ทำยศอย่างขวางแขนแสนแสงอน |
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย |
๏ถึงวัดสักเหมือนหนึ่งรักที่ศักดิ์สูง |
ยิ่งกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย |
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย |
จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง |
๏เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด |
เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว |
เหมือนตัดรักตัดสวาทขาดอาลัย |
ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วนะแก้วตา |
นิราศเมืองเพชร
๏ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด |
ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ |
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ |
เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน |
๏โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร |
เพราะแสนสุคเสน่หานิจจาเอ๋ย |
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย |
กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู |
๏ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก |
ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง |
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง |
เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด |
๏ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า |
ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม |
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม |
ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม |
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม |
มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม |
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม
|
บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน |
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ |
เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน |
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน |
เป็นเพศพันธุ์ได้ผัวเพราะมัวเมา |
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ |
เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา |
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า |
อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย |
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ |
เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย |
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย |
ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ |
๏หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง |
ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร |
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร |
ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา |
๏เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน |
วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย |
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย |
ชะนีโหยหาคู่มิรู้วาย... |
๏ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง |
ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ |
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ |
อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา |
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง |
ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา |
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา |
ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป |
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด |
เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน |
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ
|
ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา... |
นิราศวัดเจ้าฟ้า ของหนูพัด
๏ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่พักตร์ |
คนรู้จักแจ้งจิตทุกทิศา |
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา |
เป็นร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม...
|
๏ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล |
อย่างเกิดคนติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม |
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม |
เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง |
๏ออกกรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน |
แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม |
เห็นเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม |
ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร |
พิกุลออกดอกหอมพะยอมย้อย |
นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน |
ในเขตแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน |
ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา |
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง |
มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา |
รสเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา |
ภุมราร่อนร้องละอองนวล |
๏เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้าง |
ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม |
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม |
ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง |
เสนาะดังจังหวีดวะหวีดแว่ว |
เสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นเสียง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง |
เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว |
|