ย้อนหลังไปสมัยเมื่อยังเป็นเด็กและได้ยินคำว่า “งานวิจัย” เป็นครั้งแรก ผมจะนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานใน
ห้องทดลอง ทำการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือยารักษาโรคชนิดใหม่ๆ ยิ่งเมื่อได้อ่านประวัติของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายๆ ท่าน ยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของท่านเหล่านั้น และเพราะความรู้ความสามารถอย่างมากนี่แหละทำให้งานวิจัยเหล่านั้นสำเร็จได้ ต่อเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น จึงทราบว่ามี “งานวิจัย” ด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ด้านวิทยาศาสตร์อีกมาก แต่คนที่จะทำงานวิจัยได้ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัยในสาขาอื่นๆ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงความรู้อย่างมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถทำงานวิจัยที่จะนำไปสู่การค้นพบ (นวัตกรรม/ความจริง) ใหม่ๆ ได้ งานวิจัยจึงเป็นงานที่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ หากไม่ได้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิดก็ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนในระดับสูง (ปริญญาโทหรือเอก) เท่านั้น จึงจะสามารถทำงานวิจัยได้
ความเชื่อดังกล่าวของผมค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อลองทำงานวิจัยด้วยตนเองเป็นครั้งแรกสมัยทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชน โดยนำปัญหาต่างๆ ที่ประสบพบเห็นมาตั้งเป็นคำถามการวิจัย เรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัยต่างๆ จากตำราที่มี และเข้าฝึกอบรมระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยต่างๆ จัดขึ้นเป็นบางครั้ง ทำวิจัยเองร่วมกับทีมงานของโรงพยาบาล ใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลทำวิจัยโดยไม่ต้องไปขอแหล่งทุนวิจัยใด เดิมทีตั้งใจจะทำวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเหมือนนักวิจัยอื่นๆ แต่คิดว่าคุณภาพคงไม่ถึงขั้น จึงไม่ได้เน้นตรงจุดนี้ การทำวิจัยโดยจับประเด็นปัญหาของหน่วยงานเป็นจุดตั้งต้นและไม่เน้นการนำผลงานไปตีพิมพ์ (publication) ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายประการคือ
ระยะหลังผมได้ยินคำว่า R2R หรือ Routine to Research บ่อยขึ้น โดยไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร เพิ่งได้เรียนและรู้จากอาจารย์ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำนี้ว่า น่าจะคล้ายๆ กับสิ่งที่ผมได้เคยทำเมื่อนานมาแล้ว ผมเคยได้ยินคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็น operational research (OR) หรือ action research (AR) แต่คำว่า R2R กลับติดตลาดง่ายกว่า เพราะเป็นคำที่ sexy และดูเป็นสมัยนิยมมากกว่า R2R ได้ทำให้งานวิจัยเป็นงานที่ใครๆ ก็ทำได้ และกลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนางานและองค์กรที่ทรงประสิทธิภาพ เพราะส่งเสริมให้เกิด evidence based decision making
สวรส. ควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อ R2R นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่เริ่มมีการถกเถียงกันภายใน สวรส. หากมองจากวิสัยทัศน์ของ สวรส. ที่ต้องการเป็น “องค์กรหลักในการบริหารจัดการความรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพ และสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพผ่านกระบวนการจัดการความรู้” จะเห็นได้ว่า R2R จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของกลไกในระบบสุขภาพ แต่อาจไม่สามารถสร้างความรู้เพื่อใช้ในการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย เพราะประเด็นวิจัย R2R เริ่มต้นจากปัญหาของหน่วยงานเป็นสำคัญ
การขยับจาก R2R ไป R2P หรือ Research to Policy อาจมี 2 แนวทางสำคัญคือ การสังเคราะห์ความรู้จาก R2R ในประเด็นร่วมที่มีความสำคัญในระดับชาติ กับการใช้ R2R เป็นฐานในการพัฒนานักวิจัยเพื่อทำงานวิจัยระบบสุขภาพ (health system research) ต่อไป
ท่านมีข้อเสนอต่อบทบาท สวรส. ต่องาน R2R อย่างไร...
ติดตามเยี่ยมชมสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ที่ เว็บไซต์
เรามีคอลัมน์ถาม-ตอบ การวิจัย, ข่าว-กิจกรรมความเคลื่อนไหวในระบบสุขภาพ จุดประเด็น สาระสุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมายค่ะ
การทำ R2R
ถ้าเริ่มที่คนที่มีไฟและอยากทำ ให้โอกาสมาพัฒนากระบวนการทำวิจัย พาหาปัญหา พาเขียนโครงร่าง
เมื่อมีทุนวิจัย ถ้ามีข้อกำหนดว่า R2R ต้องมีทีม 2 คนขึ้นไป เขาจะพยายามหาทีม
เมื่อทีมมีปัญหาอะไร สามารถถามตอบข้อข้องใจหรือช่วยแก้ปัญหาให้ทีมได้
เมื่อทำเสร็จ ให้เขียนเป็นรายงานวิจัย 10 หน้า โดยประมาณ
ให้โอกาสมานำเสนอและตีพิมพ์
ถ้าเป็นไปได้มีแหล่งทุนให้ไปนำเสนอผลงานต่างประเทศ
รับรองว่า R2R จะสำเร็จได้ค่ะ