๑๒...รักอันรันทด(๓)


http://www.pantown.com/board.php?id=5835&name=board1&topic=5&action=view โดยคนอุดรฯ

 

 

ลองอ่านอีกข้อมูลนะครับ...

……..วาเลนไทน์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาส(ถูกขอร้องแกมบังคับ)ให้ไป “ฟุ้ง” เรื่องความรักเนื่องในวันวาเลนไทน์ ให้กับกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่สนใจวัฒนธรรม/ประวัติศาสตร์ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ของเรา…..โชคดีที่โรงเรียนเขาตั้งหัวข้อไว้ให้พูดเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเนื่อง…..หากไม่บอกกันล่วงหน้า …ผมมีสิทธิ์ไปยืน “เป่าแคน” ที่ห้องประชุมแน่ (เป่าแคนเป็น slang ทางภาคอีสานเขาใช้ล้ออาการของพระเณรที่สวดมนต์หรือเทศน์ไม่เป็น คือได้แต่นั่งพนมมือทำปากมึมๆ มัมๆ เหมือนคนเป่าแคน) …คนไปฟังก็ไม่เยอะครับมีแค่ ยี่สิบกว่าคน…..ผมมีเวลาเตรียมตัวสองวัน แบบว่ายืนฝึกพูดกับกระจกสองวันสองคืนก่อนถึงวันจริง

ผมคิดอยู่นานว่าจะเอาเรื่องอะไรไปพูด ….จะพูดเรื่อง “กามนิต/วาสิฏฐี” ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในประเทศไทย…. ครั้นจะไป “โม้”เรื่อง “คู่กรรม” ใครเลยจะเชื่อว่า พ่อโกโบริกับแม่อังศุมาลินมีชีวิตจริง

…. จะพูดเรื่อง Titanic หรือ โรมิโอ กับ จูเลียต… นั่นก็หอบมะพร้าวไปขายสวนมะพร้าว
ชัดๆ เผลอๆ คนฟังรู้มากกว่าคนพูดเสียอีก….จะพูดเรื่อง “ท้าวขูลูนางอั้ว” นิยายรักปรำปราภาคพื้นอีสานก็เกรงว่าจะไม่ออกรสชาตหากไม่ได้ออกสำเนียงอีสานบ้านผม

นึกขึ้นมาได้ว่า….ตอนอยู่เชียงใหม่ช่วงที่เข้าอบรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ….ผมเคยทำรายงานเรื่อง “ความรักของมะเมียะ” สาวพม่ากับเจ้าชายเชียงใหม่นามว่าเจ้าน้อยศุขเกษมมาแล้ว….และเคยบรรยายเรื่องราวนี้เป็นภาคภาษาลาว….เอ้ย..ภาษาอังกฤษปนลาวแบบ snake ๆ fish ๆ มาแล้ว….ตกลงเอาเรื่องนี้…เพราะผมประทับใจเป็นการส่วนตัวด้วย

มีโอกาสพาฝรั่งไปเที่ยวชมความงามของวัดสวนดอกที่เชียงใหม่ทีไร….ผมไม่เคยพลาดที่จะนำเรื่องราวนี้มานำเสนอต่อฝรั่งทุกครั้ง….เพราะที่นั่นเป็นที่ตั้งของกู่ของเจ้าเชียงใหม่เกือบทุกพระองค์รวมทั้งเจ้าน้อยศุขเกษมด้วย ….เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมเคยเล่าเรื่องราวอันนี้ให้ฝรั่งฟัง…ทำเอาฝรั่งน้ำตาซึมไปเหมือนกัน…..ขนาดผมว่าผมหินแล้ว….ตอนรับรู้เรื่องราวนี้ใหม่ๆ ผมยอมรับว่าน้ำตาซึมครับ….


“พล่าม” มาเสียยาว …อยากจะบอกว่าปี2546นี้ ครบวาระหนึ่งร้อยปีพอดีที่เรื่องราวของความรักระหว่างมะเมียะกับเจ้าน้อยศุขเกษมได้เกิดขึ้น…..และท้ายสุดก็จบลงแบบโศกนาฏกรรม….

มาฟังเรื่องราวเลยนะครับ

 



   เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าแก้วนวรัฐซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอุปราชเมืองเชียงใหม่ และต่อมาได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่องค์ที่9….ตรงกับรัชสมัยของร .5 …

เชียงใหม่แม้ตอนนั้นจะเรียกว่าเป็นประเทศราชของสยามอยู่….แต่ก็มีเจ้าครองนครปกครองตนเองสืบเรื่อยมานับตั้งแต่เป็นอิสระจากพม่า….กรุงเทพฯ ต้องใช้มาตรการปกครองต่อเชียงใหม่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย….เพราะกริ่งเกรงว่าอังกฤษซึ่งตอนนั้นซึ่งครอบครองพม่าแล้ว…จะอ้างสิทธิเข้าครอบครองเชียงใหม่เข้าอีกด้วย….อีกอย่างเชียงใหม่ก็อยู่ใกล้พม่ากว่ากรุงเทพฯ นัก….หากอังกฤษคิดจะครอบครองเอาเชียงใหม่คงทำได้อย่างรวดเร็ว….เชื่อว่าทางกรุงเทพฯ ก็ตระหนักถึงข้อนี้ดี…..การรับเอาเจ้าดารารัศมีจากเชียงใหม่มาเป็นพระวรชายาของ ร5. ก็เป็นนโยบายอันชาญฉลาดของพระองค์ที่จะพยายามสร้างความใกล้ชิดกับเชียงใหม่ให้มากขึ้น

ย้อนกลับมาที่เจ้าน้อยศุขเกษม…หรือชื่อเป็นทางการว่า “เจ้าอุตรการโกศล” …เจ้าแก้วนวรัฐผู้เป็นบิดาคงมองการณ์ไกลแล้วว่า….วันข้างหน้าเจ้าน้อยศุขเกษมคงต้องขึ้นนั่งเป็นเจ้าอุปราช และครองเมืองเชียงใหม่…เจ้าแก้วนวรัฐจึงได้จัดส่งเจ้าน้อยศุขเกษมซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ไปเรียนหนังสือเมือง มะละแหม่ง ประเทศพม่าซึ่งเป็นโรงเรียนกิน-นอนสไตส์อังกฤษ

วันหนึ่ง…เจ้าน้อยศุขเกษมออกไปเดินชมตลาดเมืองมะละแหม่ง…..และได้พบกับ “มะเมี๊ยะ” ซึ่งเป็นแม่ค้าสาวชาวท้องถิ่นกำลังนั่งมวนบุหรี่ขายริมทางที่ผู้คนเดินผ่านไปมา….ทั้งคู่เกิดต้องชะตากันอย่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเคยเป็นบุพเพสันนิวาสมาก่อน…ในระหว่างที่เจ้าน้อยศุขเกษมกำลังเล่าเรียนอยู่…ก็ได้คบหากับมะเมี๊ยะเรื่อยมา…ท้ายสุด ทั้งสองก็ใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยา….โดยที่บรรดาเจ้าฝ่ายเชียงใหม่ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ในขณะเดียวกัน….เจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าจามรีผู้เป็นแม่ของเจ้าน้อยศุขเกษมก็ได้หมายหมั้นเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ไว้ให้กับเจ้าน้อยศุขเกษมเรียบร้อยแล้ว…..ซึงเจ้าน้อยศุขเกษมเองก็ไม่ได้ระแคะระคายเช่นเดียวกัน

ด้วยความที่นับถือศาสนาพุทธด้วยกันทั้งคู่….ทั้งเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมี๊ยะมักจะพากันไปทำบุญตักบาตรตามวัดต่างๆ อยู่เสมอๆ…..และครานั้น ทั้งสองได้สาบานต่อหน้าพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งว่าจะรักกันตลอดไป….และจะไม่ทอดทิ้งกัน หากใครทรยศต่อความรักก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น


ครั้นเมื่อเจ้าน้อยศุขเกษมเรียนจบและมีอายุครบยี่สิบปีพอดี….ก็ได้เดินทางกลับเชียงใหม่….โดยตัดสินใจให้มะเมี๊ยะปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวนเข้าเมืองเชียงใหม่ (เจ้าแก้วนวรัฐได้ส่งเสนาเมืองไปตั้งขบวนรับการกลับของเจ้าน้อยศุขเกษมที่ชายแดนเมืองแม่ฮ่องสอน) ตรงนี้ผมเชื่อว่าเจ้าน้อยศุขเกษมก็คงรู้ว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ของท่านจะกริ้วขนาดไหนหากรู้ว่าท่านกับมะเมี๊ยะได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาที่เมืองมะละแหม่ง ท่านจึงได้ให้มะเมี๊ยะปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวน…..

 



   ขบวนช้างที่พาเจ้าน้อยศุขเกษมมาถึงประตูเมืองเชียงใหม่เวลากลางคืนพอดี…จะด้วยบังเอิญหรือจงใจก็มิอาจทราบได้…..แต่นั่นก็เป็นผลดีต่อมะเมี๊ยะที่ปลอมตัวเป็นชาย…โดยความสลัวของกลางคืนคงพรางตัวมะเมี๊ยะได้อีกชั้นหนึ่ง

ทันทีที่ถึงเชียงใหม่ เจ้าน้อยศุขเกษมรีบพามะเมี๊ยะไปซ่อนไว้ที่คุ้มของท่าน…..ซึ่งมะเมี๊ยะก็ซ่อนที่คุ้มหลังนั้นหลายวัน…..เจ้าน้อยศุขเกษมคงรู้อยู่เต็มเอกว่า เจ้าพ่อและเจ้าแม่ของท่านคงไม่ยอมรับมะเมี๊ยะเป็นสะใภ้ อย่างน้อยๆ ก็ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ สองประการ(ผมวิเคราะห์เอง)
หนึ่ง เพราะท่านหมั้นหมายเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม่ ไว้เรียบร้อยแล้ว
สอง มะเมี๊ยะเป็นหญิงชาวพม่า ซึ่งตอนนั้นอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กล่าวโดยนิตินัยแล้ว สัญชาติของมะเมี๊ยะก็คือสัญชาติอังกฤษ….ตรงนี้แหละ ที่อังกฤษสามารถอ้างเพื่อเข้าแทรกแซงการเมืองของสยามเพื่อที่จะผนวกเชียงใหม่เป็นดินแดนของพม่าอีกครั้ง….

หลังจากที่ปกปิดเรื่องมะเมี๊ยะมาได้ระยะหนึ่ง ท้ายที่สุด เจ้าน้อยศุขเกษมก็นำความจริงไปเล่าให้เจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าจามรีได้ทราบความจริง….ตรงนี้ผมเชื่อว่าท่านทั้งสองคงอึ้งไปไม่น้อย….และที่สำคัญคือต้องช่วยกันพยายามปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้สาธารณะได้รับรู้……ที่สำคัญที่สุด…คือต้องไม่ให้ทางกรุงเทพฯ รับรู้เรื่องนี้…และต้องจัดการเรื่องนี้อย่างแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น หากพลาดจุดใดจุดหนึ่ง ก็คงหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ และอาจเป็นชนวนให้อังกฤษเข้ามาเป็นต้วแทรกและเป็นตัวแปร….ใครจะรู้?โฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยช่วงนั้นอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้

อนิจจา…..ความรักอันบริสุทธิ์ของชายหนุ่มหญิงสาวที่เคยวาดหวังไว้ว่าจะยั่งยืน….และความรักที่ครั้งหนึ่งเคยสาบานต่อหน้าพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่ยอมพรากจากกัน….เริ่มมีอุปสรรคที่มี “การเมือง”ระดับประเทศเข้ามาเป็นตัวแทรกสียแล้ว

หลังจากที่ได้ปรึกษาเจ้านายฝ่ายเหนือทุกพระองค์แล้ว….ก็เห็นพร้องต้องกันว่าควรจะส่งมะเมี๊ยะกลับเมืองมะละแหม่ง….ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเมืองอันจะเกิดต่อเชียงใหม่…..กล่าวกันว่า เจ้าพ่อเจ้าแม่ของเจ้าน้อยศุขเกษมได้จัดพิธีรดน้ำเพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายออกจากตัวโอรส เพราะเชื่อว่าเจ้าน้อยศุขเกษมโดน คุณไสย์ จากมะเมี๊ยะ

ดูเหมือนว่าเจ้าน้อยศุขเกษมตกอยู่ในภาวะตรอมตรมไม่น้อย แม้จะรักมะเมี๊ยะปานจะกลืนกิน แต่คงไม่น้อยไปกว่ารักเจ้าพ่อเจ้าแม่ของท่าน…..ท่านพยายามเกลี้ยกล่อมให้มะเมี๊ยะกลับไปรอท่านที่เมืองมะละแหม่ง….รอที่นั่นสักระยะให้ทุกอย่างคลี่คลายเสียก่อน….มะเมี๊ยะร่ำไห้ปานใจจะขาดเมื่อรู้ว่าจะต้องพลัดพรากจากเจ้าน้อยศุขเกษม….แต่ท้ายที่สุดก็ยินยอม….มิหวังให้เมืองเชียงใหม่และเจ้าพ่อเจ้าแม่ของสามีนางต้องเดือนร้อน

เจ้าแก้วนวรัฐได้จัดขบวนช้างส่งตัวมะเมี๊ยะกลับมะละแหม่งเดือนเมษา โดยขบวนเริ่มต้นที่ประตูหายยา…..หนุ่มสาวทั้งสองได้พร่ำลากันตรงนั้นต่อหน้าประชาชนชาวเชียงใหม่ที่ใคร่ไปชมโฉมหน้าของมะเมี๊ยะ….ทั้งสองพร่ำรำพันต่อกันและกันว่าต่างจะยึดมั่นคำสาบานที่เคยให้ไว้แก่กันที่พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์…..เจ้าน้อยศุขเกษมให้สัญญาว่าจะกลับไปหามะเมี๊ยะที่มะละแหม่ง…..กล่าวกันว่า ก่อนจากกัน ณ ประตูหายยาตรงนั้น มะเมี๊ยะได้ก้มคุกเข่าลงกับพื้นแล้วใช้เส้นผมของนางเช็ดไปทั่วเท้าของเจ้าน้อยศุขเกษมด้วยความอาวรณ์

 



   ณ เมืองมะละแหม่ง มะเมี๊ยะสาวน้อยชาวพม่าผู้ได้มอบความรักทั้งหมดให้กับว่าที่เจ้าอุปราชเมืองเชียงใหม่….เฝ้ารอคอยการกลับมาของเจ้าน้อยศุขเกษม…..กาลผ่านไปหลายเดือนก็ไม่มีวี่แววการกลับมาของชายคนรัก….นางตกอยู่ในห้วงแห่งอาวรณ์เป็นล้นพ้น….ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจหันหน้าเข้าหาธรรมะ….บวชชีที่วัดแห่งหนึ่ง

ณ เมืองเชียงใหม่ การจากเดินทางกลับเมืองมะละแหม่งของมะเมี๊ยะด้วยเหตุผลทางการเมือง ยังความโศกเศร้าอาดูรต่อเจ้าน้อยศุขเกษมไม่แพ้กัน ท่านหันหน้าเข้าหาสุราเพื่อหวังจะคลายความทุกข์ระทม…..เจ้าพ่อเจ้าแม่ของท่านทนไม่ไหวจึงส่งท่านลงไปรับราชการที่กรุงเทพฯ (ถ้าจำไม่ผิดท่านได้ยศร้อยตรี) พร้อมกับจัดพิธิอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงบัวชุมด้วย

ข่าวการสมรสของเจ้าน้อยศุขเกษมล่วงไปถึงเมืองมะละแหม่ง…..แม่ชีมะเมี๊ยะได้ตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง….และขอเข้าพบเจ้าน้อยศุขเกษมเป็นครั้งสุดท้าย (นางคงตัดสินแน่วแน่แล้วว่าจะครองสมณะเป็นแม่ชีตลอดไป)

ฝ่ายเจ้าน้อยศุขเกษมเมื่อรู้ว่ามะเมี๊ยะมาขอพบ ท่านก็หักห้ามใจไม่ยอมลงไปพบคนรัก (ท่านคงตระหนักแล้วว่าความรักระหว่างท่านและมะเมี๊ยะนั้น เป็นไปไม่ได้) นัยว่า ต่างฝ่ายก็ต่างตรอมตรมในความรักที่มีต่อกันมามากพอแล้ว….การที่จะพบหน้ากันอีกคงสะเทือนใจกันอันหาประมาณมิได้แน่….เจ้าน้อยศุขเกษมทำได้อย่างมากก็แค่มอบแหวนทับทิมของท่านพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งให้เจ้าบุญสูงเอาไปมอบให้มะเมี๊ยะ (มีคนทางเหนือเล่าให้ผมฟังว่าเจ้าบุญสูงท่านนี้พึ่งเสียชีวิตไปยี่สิบกว่าปีนี่เอง)

แม่ชีมะเมี๊ยะเดินทางกลับเมืองมะละแหม่งอย่างเดียวดายอีกครั้งหนึ่ง และนางได้ครองสมณะเป็นแม่ชีจนวาระสุดท้าย

ส่วนเจ้าน้อยศุขเกษมก็มาสิ้นชีพตักษัย(ขออภัยหากราชาศัพท์ผิด)เมื่ออายุแค่38ปี นัยว่า ท่านดื่มเหล้าเป็นนิจสิน

เมื่อไม่นานมานี้ มีคณะอาจารย์กลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางไปเมืองมะละแหม่งเพื่อสืบค้นหาเรื่องราวของมะเมี๊ยะ ถามไถ่คนแถวนั้นไม่มีใครรู้จักชื่อมะเมี๊ยะ…..หากแต่รู้ว่าเคยมีแม่ชีรูปหนึ่งชอบนั่งมวนยาแล้วเอาไปขายเพื่อเอาเงินไปทำบุญ


ผมต้องขออภัยสำหรับคนที่รู้เรื่องนี้แล้ว และการเขียนของผมอาจจะตกๆ หล่นๆ เพราะเขียนจากความทรงจำจาก
ผมอยากแนะนำหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ และมีคำสัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงด้วย

ถ้าผมจำไม่ผิดหนังสือนั้นชื่อ “เพชรล้านนา” ผู้แต่งผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่า นามสกุลของผู้แต่งคือ ณ พัทลุง
ตอนอ่านอย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้าไว้ข้างนะครับ ….เพราะตอนผมอ่านผมน้ำตาไหล…ขนาดกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ก็ซึมๆ

สถูปของเจ้าน้อยศุขเกษมสร้างไว้ที่วัดสวนดอกจังหวัดเชียงใหม่ หากใครแวะไปที่นั่นอย่าลืมไปสักการะ

  ความคิดเห็นที่ 12
   ขอแก้ไขข้อความคุณอุดรฯตรงอายุของเจ้าน้อยศุขเกษม ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 33 ปี และคู่หมั้นของท่านคือเจ้าหญิงบัวนวลไม่ใช่เจ้าหญิงบัวชุม เจ้าหญิงบัวนวลท่านเก่งด้านขี่ม้า และบริหารงานช่วยท่านพ่อ ส่วนเจ้าหญิงบัวชุมเก่งด้านศิลปดนตรีพื้นเมือง เจ้าหญิงบัวนวลเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นมีหญิงพม่ามาด้วยก็เลยถอนหมั้นไปเลย เจ้าน้อยศุขเกษมถูกส่งตัวมาทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่ในความดูแลของเจ้าดารารัศมีซึ่งในคุ้มนั้นมีเจ้าหญิงบัวชุมผู้เลอโฉมอยู่ในนั้นด้วย จึงได้แต่งงานกันในที่สุด  โดย: หลานเจ้า [26 พ.ค. 50 15:38] ( IP A:222.123.27.124 X: )

  ความคิดเห็นที่ 4
   มะเมียะนามนาฏน้อง...............................นางสวรรค์
คำรักบ่เหมือนฝัน...................................ราดร้าง
รักนักสองรักกัน.......................................หมายร่วม เรือนเอ่ย
บ่สมดั่งใฝ่อ้าง.......................................อกไหม้หมองใจ

จำใจไลละแล้ว.....................................ทูลลา
ปูผมเช็ดบาทา......................................พี่แก้ว
เจ้าเอยอยู่ทีฆา....................................พระพี่ แพงพี่
จำร้างห่างผัวแล้ว..................................จุ่งเจ้าศุขเกษมฯ

บทกวีของศิลปินล้านนา  โดย: คนอุดรฯ [12 ส.ค. 47 4:35] ( IP A:80.41.196.236 X: )

  

                                        สวัสดีครับ

หมายเลขบันทึก: 160397เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2008 10:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 23:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท