สรุปผลการปฏิบัติงานจากแนวคิดสู่การพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร
ในห้วงระยะเวลานานหลายสัปดาห์ ที่ห่างเหินจากการบันทึกความรู้ลงใน Blog เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกและเครือข่ายชาว G2K เนื่องจากอยู่ในช่วงการทบทวนวิธีคิด ทบทวนงานที่ได้ทำมาเมื่อปี 2550 ซึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว ว่า ตัวเราทำงานอะไรไปแล้วบ้าง มีสิ่งไหนที่เราทำไปแล้วได้บรรลุเป้าหมาย และยังมีสิ่งไหนบ้างที่เราทำไปแล้วแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายเท่าที่ควร และสิ่งไหนที่ได้รับเป็นองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งในปัจจุบันถ้าเริ่มนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 เป็นต้นไป เราจะวางแนวทางการทำงานของเราอย่างไรในเชิงอนาคต หรือพูดง่ายๆก็คือ คิดทำงานในเชิงอนาคตนั่นเองครับ ซึ่งเป็นการท้าทายการทำงานของเรา โดยเราได้ตั้งเป้าหมายงานที่เราอยากจะทำและเราอยากจะเห็นความเป็นไปได้ ในการพัฒนาบุคลากร พัฒนางาน และการพัฒนาองค์กร ตลอดจนการพัฒนาสังคม แต่มันอาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตามนั่นคือศักยภาพของเรา ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในองค์กร และสังคม ซึ่งมีงานไหนบ้างที่เราต้องศึกษาเพื่อการพัฒนาต่อยอดอีกระดับหนึ่งนั้นก็พอจะมองเห็นเป้าหมายการทำงานของเราในมิติใหม่นั่นเองครับ
ต้องยอมรับว่าในรอบปี 2550 การพัฒนางานในระดับองค์กร และระดับชุมชน จากประสบการณ์ในการได้สัมผัสและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรในภาคประชาสังคม ภาครัฐ เกษตรกร และชุมชน ยังมีความเข้าใจในมุมมองของการทำงานที่แตกต่างกัน แต่ก็มีอยู่บางส่วนที่มีมุมมองที่คล้ายๆกัน จากการดำเนินงานที่ผ่านมา พอที่จะสรุปให้เห็นเป็นขั้นของการพัฒนาดังนี้
1.การปรับแนวคิดของบุคลากร น่าจะเป็นข้อยืนยันว่าการปรับแนวคิด หรือการปรับวิธีคิด เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคน ทุกคนจะมีกรอบแนวคิดของตนเอง บางท่านก็นำปัญหาและอุปสรรคของตนเองมาเป็นกรอบแนวคิดนำของตนเอง ไม่ว่าจะพูดในเวทีไหนก็ตามจะนำปัญหา อุปสรรคมานำเสนอตลอด บางท่านที่มีการพัฒนากรอบแนวคิดของตนเองมาแล้ว ซึ่งพูดในเชิงบวกหรือที่เรียกว่าเชิงสร้างสรรค์ โดยจะหลีกเลี่ยงการพูดเชิงขัดแย้งตลอด โดยจะนำเอาวิธีคิดที่เรียกว่าHowto คือทำอย่างไรเป็นตัวนำ ในสภาวะปัจจุปันจะเหมาะสมที่นำวิธีคิดแบบนี้มาใช้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานแบบมีส่วนร่วม หรือการที่จะบูรณาการการทำงานร่วมกันนั่นเอง หากยังมีบุคลากรส่วนใหญ่ในองค์กรยังไม่ปรับวิธคิดไปในทางเชิงบวกมากขึ้นซึ่งยังยึดติดวิธีคิดแบบเดิมๆและยังไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นก็จะทำการพัฒนางาน และองค์กรคงเป็นไปได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ณ.ปัจจุบันยังมีความจำเป็นที่ต้องช่วยกันพัฒนา ให้เกิดการเรียนรู้แก่ทีมงานหรือบุคลากรในองค์กรให้มากขึ้นและต่อเนื่อง จึงจะสามารถพัฒนาวิธีคิดของบุคลากรได้ แต่ข้อสำคัญเราต้องเริ่มต้นพัฒนาที่ตัวเราให้ได้ก่อนนะครับ
2. การเรียนรู้ร่วมกับชุมชนเพื่อกำหนดเป้าหมายงานที่จะทำ การที่เราจะกำหนดเป้าหมายงานที่จะทำใดๆก็แล้วแต่ ต้องยึดอยู่บนฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และอยู่ที่บริบทของชุมชนนั้นๆ หากเราได้เข้าไปเรียนรู้ร่วมกับชมชุน คนที่อยู่ในชุมชน เขาจะทราบข้อเท็จจริงรู้ทรัพยากร รู้จุดอ่อนจุดแข็ง ข้อจำกัด และโอกาส ที่ค่อนข้างจะเป็นจริง ยิ่งการพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร การพัฒนาพืชปลอดภัย การพัฒนาอาหารที่ปลอดภัย หรือการพัฒนาสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย ก็ตาม หากบุคลากร ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ลงไปเรียนรู้กับผู้ผลิตที่อยู่ในชุมชนแล้ว จะขาดข้อมูลที่สะท้อนถึงความเป็นจริง หากมีการศึกษาเป็นกรณี หรือมีการวิจัยและพัฒนา (R&D) ก็จะสามารถนำผลของการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประกอบการกำหนดเป้าหมายงานที่จะทำ สามารถบอกพื้นที่ผลิตอยู่ที่ไหน ผู้ผลิตในชุมชนมีใครบ้าง และที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มอาชีพมีหรือไม่เป็นต้น ตลอดจนมีทักษะในการใช้เครื่องมือเชิงคุณภาพเป็น หากพูดง่ายๆก็คือจะต้องมีประสบการณ์ในการลงพื้นที่ และเคยสร้างเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาแล้วระดับหนึ่งรู้และเข้าใจกับการสร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน นั่นหมายถึงวิทยากรกระบวนการ(Facilitater)
3.การสร้างทีมงานและการพัฒนาบุคลากร เป็นหัวใจที่สำคัญว่าการที่เราจะเริ่มต้น ขับเคลื่อนงานที่จะทำ อยู่ที่ทีมงาน แต่ทีมงานต้องมาจากความสมัครใจ มิได้มาจากการเสนอชื่อหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งเป็นคณะทำงาน สุดท้ายก็จะมีประธานกับเลาขานุการเท่านั้น แต่ที่สำคัญจะต้องมาจากการลงAction ในพื้นที่และชุมชนจริงเป็นต้น มีความสัมพันธ์ และติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ พูดคุยกันอยู่บ่อยๆ ถึงจะพัฒนาไปสู่ Team work ได้ และมีส่วนร่วมในขั้นของการพัฒนาและลงAction มาด้วยกันตั้งแต่ขั้นที่1มาแล้ว หรืออาจจะมีทีมงานบางท่านไม่ได้ร่วมกันตั้งแต่ขั้นแรกมาด้วยกัน หากใจเปิดก็จะสามารถปรับวิธีคิดไปเป็นเชิงบวกได้เช่นกัน แต่อาจจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะฉะนั้น การลงปฏิบัติงานในพื้นที่ร่วมกับเกษตรกรผู้ผลิต ชุมชน ภาคีเครือข่าย ในเวทีจริง เกิดการพูดคุยกันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เกิดความสัมพันธ์กัน และมีการสื่อสารถึงกันย่อมพัฒนาไปสู่ทีมงาน การลงพื้นที่ปฏิบัตินั้น อาจจะรวมที่ทีมปฏิบัติในพื้นที่และนอกพื้นที่ เป็นต้น
นอกจากจะฝึกพัฒนาวิธคิดเป็นเชิงบวกหรือเชิงสร้างสรรค์แล้ว จะต้องมีการพัฒนาไปสู่ความคิดเชิงระบบ มองถึงความเชื่อมโยงของข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถวิเคราะห์ สถานการณ์ประกอบด้วย InPut Process Output และ Outcome บทเรียนที่ผ่านมาเป็นตัวที่สะท้อนบอกความเป็นจริง การที่เราจะพัฒนาทีมงานให้เข้าใจถึง หัวใจนักปราชญ์ คือ ฟังเป็น คิดเป็น ถาม/กระตุ้นเป็น สุดท้ายก็คือ เขียนและบันทึกเป็นหรือที่เรียกสั้นๆว่า สุ จิ ปุ ลิ นั่นเองครับ
การเปิดใจเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าการนำการวิจัยและพัฒนา การนำการจัดการความรู้ เข้ามาสวมในงานที่ปฏิบัติ เราลงมือปฏิบัติจริง เราได้เรียนรู้ จึงเป็นผลที่ไปเสริมหนุนในการปรับวิธีคิด และเสริมหนุนในการสร้างและพัฒนาทีมงานให้มองโลกไปในทางบวกได้ นี่เป็นข้อยืนยัน
4. การสร้างและพัฒนาระบบการทำงาน ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง ก็คือการสร้างกระบวนการทำงานในระดับองค์กร หากบุคลากรในองค์ยังไม่เข้าในกระบวนการทำงานว่าจะเริ่มต้นทำงานทำอะไรก่อนหลัง แสดงว่าไม่ได้ผ่านขั้นตอนที่1-3 ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะมองไม่เห็นว่าจะเริ่มต้นทำงานกันอย่างไร ซึ่งจะรอแต่การสั่งการตาม Topdown ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดิมขององค์ภาครัฐในอดีตนั่นเอง ซึ่งไม่ส่งเสริมให้องค์หรือบุคลากรในองค์กรได้เกิดการเรียนรู้และคิดงานเอง โดยมุ่งแต่จะยึดกฎระเบียบเป็นตัวนำ และไม่พยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนางานแบบBottom up แต่ในองค์กรของเราก็มีการพัฒนาและสร้างระบบการทำงานส่งเสริมการเกษตรขององค์กร ซึ่งบุคลากรทุกระดับได้มีส่วนร่วมในการระดมความคิดเห็นอย่างมีส่วนร่วมและได้มีการทดลองในการปฏิบัติมาแล้ว ไม่ว่าเราจะไปร่วมเวทีไหน ก็จะไม่หลุดตัวระบบที่เราได้ยึดถือปฏิบัติกันมายาวนานพอสมควร แต่ก็มีพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นในขณะที่ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่และชุมชน ที่จะต้องมีการพัฒนาตัวระบบไปอีกขั้นหนึ่ง
ในการปฏิบัติงานในระบบที่ผ่านมาพบว่าก็มีอุปสรรคและข้อจำกัดไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนระบบมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ทีมงานก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเราได้รับการพัฒนามาตามขั้นที่1-4 แล้ว จึงทำให้มีกำลังใจ หรือมีพลังในการทำงาน และพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร เพื่อองค์กร เพื่อเกษตรกร เพื่อชุมชนเกษตร และสังคม ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งซึ่งจะได้กล่าวถึงในการพัฒนาระบบในตอนต่อไป(โปรดติดตามอ่านตอน2นะครับ)
ไม่มีความเห็น