เรื่องนี้หยิบยกมาเขียนเพราะดูรายการคดีเด็ดทางทีวีค่ะ
รายการนี้นำประสบการณ์ในชีวิตจริงของบุคคลต่างๆ มาเสนอ โดยสร้างเป็นละครสั้นๆ...
ปรากฏว่าตอนหนึ่งเป็นเรื่องของคนที่นำแตงโมทั้งลูกมาใส่บาตร และอีกตอนเป็นคนที่ตักบาตรด้วยข้าวต้มร้อนๆ !?!
ลองนึกภาพเอาเองนะคะว่าจะทุกลักทุเลขนาดไหนทั้งพระทั้งฆราวาส นี่คือ การทำบุญโดยสร้างทุกข์ให้แก่พระภิกษุที่รับบิณบาตอย่างมาก เพราะอาหารชนิดแรกมีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่จนคับบาตร ส่วนอีกชนิดก็ทำร้ายร่างกายพระภิกษุโดยตรง เนื่องจากต้องอุ้มบาตรร้อนๆ ก็บาตรพระทำจากโลหะและไม่มีฉนวนกันความร้อนแต่อย่างใดเลยนี่คะ
การตักบาตรเป็นประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ถือว่าเป็นการสร้างกุศลให้ตนเอง และแผ่ส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว ยุคนี้วิวัฒนาการทางภาษาใช้เรียกว่า “ใส่บาตร” ได้ เพราะอาหารที่จัดมาถวายในสมัยนี้อยู่ในถุงหรือบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยไม่ต้อง “ตัก” ด้วยทัพพีเหมือนสมัยก่อน
พระภิกษุที่ออกบิณฑบาตต้อง "รับทาน" ที่คนให้ทั้งหมดค่ะ เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ จะบอกว่าต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้ ฉะนั้นแตงโมทั้งลูกหรือข้าวต้มร้อนๆ ก็ต้องรับสิคะ
ความจริงมีเหมือนกันที่พระภิกษุไม่สามารถรับได้ อาทิ อาหารที่พระภิกษุรู้ว่าคนนำมาถวายได้มาด้วยวิธีการทุจริต เนื้อสัตว์ต้องห้ามบางชนิด ผลไม้ที่ยังมีเมล็ดติดอยู่ และวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ในการทำอาหาร
สมัยนี้เรื่องผลไม้มีเมล็ดกับวัตถุดิบในการปรุงอาหารก็อนุโลมให้รับได้ เพื่อสอดคล้องกับวิถีชีวิตในยุคนี้ เพราะเร่งรีบจนไม่มีเวลามานั่งคว้านเมล็ดออก และหลายวัดมีโรงครัวที่จัดฆราวาสมาทำอาหารเลี้ยงพระ
อาหารที่นำมาใส่บาตรนั้น คนส่วนใหญ่ถือว่าจะต้องเป็นของที่ดีที่สุด บางคนมีความเชื่อส่วนตัวว่า ข้าวที่ถวายพระนั้นต้องเป็นข้าวที่หุงสุกใหม่ๆ ร้อนๆ ยิ่งข้าวร้อนเท่าไหร่บุญกุศลจะยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น ?!?
ความเชื่อแบบนี้ก็คงจะดีอยู่หรอกค่ะ ถ้าเป็นการทำอาหารเลี้ยงพระ ไม่ใช่การใส่ข้าวร้อนๆ ลงในบาตร จะว่าไปแล้วอาหารอะไรที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ก็ไม่ควรใส่บาตรทั้งนั้น
ยุคนี้มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใส จัดอาหารเป็นชุดๆ ไว้ให้ความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการใส่บาตร ซึ่งก็คงจะไม่ได้ของที่ดีที่สุดอย่างที่หวัง แถมยังอาจเจอบางรายที่นำอาหารค้างคืนหรือหมดอายุมาขายด้วย จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย
การทำบุญตักบาตรให้ได้บุญแท้จริงอยู่ที่ใจผู้ถวาย คือรักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ ตั้งใจเสียสละอย่างแท้จริง และจิตใจยินดีเบิกบานในสิ่งที่ได้ทำไป
ก่อนใส่บาตรสิ่งที่คนเรามักทำกันคือ “การอธิษฐาน” แล้วจึงถวายอาหารบิณฑบาต ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็ถวายหลังสุด โดยวางไว้บนฝาบาตรเมื่อพระท่านปิดบาตรแล้ว
ใครอธิษฐานว่าอย่างไรก็แล้วแต่คนค่ะ ถ้ายึดถือคำสอนของพระพุทธองค์ก็ต้องอธิษฐานเพื่อนิพพาน ใครตั้งใจจะแบ่งบุญไปให้คนที่ตายไปแล้วชนิดส่งตรงให้นั้น พระท่านว่ามีแต่เปรตวิสัยเท่านั้นที่รับได้
ถ้าเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือเทวดา จะได้บุญก็ต้องเป็นบุญที่เกิดจากการรับรู้และมีจิตยินดีในการทำดีของเรา ฉะนั้นเวลาอธิษฐานก็ต้องบอกให้รับทราบไว้ หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จก็บอกคนรอบข้างด้วย เป้าหมายคือเพื่อให้ร่วมอนุโมทนาด้วยกัน
ครั้งต่อไปที่มีโอกาสทำบุญตักบาตร ช่วยพิจารณาเลือกอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมกับพระภิกษุสามเณรด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะป้าเจี๊ยบ
การตั้งใจดี เป็นเรื่องดีนะคะ แต่ความเหมาะสม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นด้วยมากๆ ที่ไม่ทำให้พระท่านลำบากค่ะ
คิดถึงนะคะ ไม่ค่อยแวะไปเลยค่ะ
ดิฉันเคยไปยืนดูแม่ค้าขายของใส่บาตรพระที่ตลาดบางแค มีพระภิกษุยืนอยู่ข้าง ๆ แม่ค้า คนใจบุญซื้อของแม่ค้าใส่บาตร พอขายหมดก็นำอาหารที่ขายไปแล้ว และคนใจบุญใส่บาตรแล้วจากพระภิกษุรูปเดิมมาขายใหม่ เห็นแล้ว....เฮ้อ....ดิฉันอดไม่ได้หลุดปากไปว่า อย่างนี้เลยเหรอ!!!
จะใช่พระจริงหรือเปล่า? แต่สำหรับคนที่ต้องการทำบุญ/ทำทานจริงๆ ก็คงไม่เป็นไร เพราะใจต้องการ "ให้"
ธุป้าเจี๊ยบค่ะ..
ต้อมเป็นคนที่ค่อนข้างไกลวัดพอสมควรเมื่อโตขึ้น สมัยยังเด็กก็ใส่บาตรทุกวัน แถวบ้านใส่ข้าวเหนียวในบาตรพระ และจะแยกกับข้าวกับปลาหรือประเภทผักผลไม้ให้เด็กวัดที่เดินลากรถเข็นตามพระ
โตเป็นสาว..ก็ไม่ค่อยได้ใส่บาตร แต่ปีหนึ่งๆ ก็ขอไปใส่บาตรในปริวาสกรรม ที่มีพระสงฆ์จำนวนเยอะๆ มาเข้ากรรม แล้วตอนเช้าจะจัดให้มีการทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง เช้าหนึ่งๆ จะมีพระสักสองร้อย-สี่ร้อยรูป ให้เราได้ใส่บาตรหมุนเวียนกันไป ต้อมก็เลยถือว่า(ถือเอาเอง)ใส่บาตรครั้งเดียวเหมือนคุ้มไปทั้งปี(365 วัน)
ตอนนี้..4 ปีมาแล้วที่ต้อมไม่เคยได้ทำบุญตักบาตรเลย รู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนกันค่ะ แต่ปลอบใจว่าก็ทำทานบ้างนี่นา
หนูเห็นด้วยค่ะ เพราะหนูเป็นคนชอบใส่บาตรตอนเช้า และจะอุทิศส่วนบุญไปให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว