ตอนนี้ ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่พรหมที่ลงมากินง้วนดิน กินเพลินไปจนเครือดินหายกลายเป็นแผ่นดิน แล้วก็หมดอาหารกิน นั่งนอนบนแผ่นดินนั้น
ลองนึกภาพดูสมัยที่กินง้วนดินคงจะเหาะขึ้นเหาะลง จากที่นั่นไปที่นี่ ไปๆมาๆ หาแหล่งง้วนดินเครือดินกะบิดินไปมา
ลองนึกภาพว่า แหล่งปรากฏง้วนดินนั้น ไม่ได้ปรากฏแห่งเดียวในโลก คือไม่ได้ปรากฏที่สีสะปฐวีเท่านั้น หลังจากปรากฏที่สีสะปฐวีแล้ว ต่อมา ในที่แห่งอื่นของโลกก็ได้ปรากฏง้วนดินขึ้นทีหลังเช่นกัน ทำให้ปรากฏกะบิดินเครือดินในต่างที่ และทำให้แผ่นดินแต่ละแผ่นบนผิวโลก มีอายุเก่าแก่ต่างกันไป พวกพรหมเริ่มแรกกินดินที่บริเวณมัชฌิมประเทศ แต่เมื่อปรากฏง้วนดินในแหล่งอื่นในเขตอบอุ่น พรหมพวกที่เหาะหาที่สงบกินง้วนดินนั้นก็พากันกระจายตัวออกไปกินในที่อื่น จนสุดท้าย ปรากฏแผ่นดินในหลายแห่งทั่วโลก แล้วแผ่นดินนั้นก็งอกเงยขึ้นโดยอาศัยฝุ่นละอองในอากาศบ้าง อาศัยภูเขาไฟระเบิดใต้น้ำบ้าง เชื่อมแผ่นดินเหล่านั้นเข้าด้วยกัน (เพราะเริ่มแรก โลกทั้งโลกเป็นน้ำท่วมทับแผ่นดินใต้น้ำไว้ แต่ที่แกนโลกยังคงร้อนจากการถูกไฟไหม้กัปป์เผาเมื่อคราวนั้น ส่วนที่เย็นก็เป็นแค่เปลือก ส่วนที่ร้อนก็ยังระอุอยู่ภายในอยู่ และเมื่อได้น้ำเข้าท่วมกัน ความร้อนเผาน้ำ ผลิตเป็นไอน้ำใต้ดิน เกิดภูเขาไฟระเบิดบ้าง)
แผ่นดินที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้ๆ เมื่อสืบเวลานานเข้ามันก็เข้ามาเชื่อมกัน เพราะอาศัยกระแสลมในเบื้องบนบ้าง อาศัยกระแสน้ำในเบื้องล่างอันเกิดจากลมเพราะกระแสน้ำร้อนอันรับ
ความร้อนจากแกนโลกมาปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ผิวโลก แล้วกระทบกันทำให้ปรากฏเป็นกระแสน้ำไหลไป พัดพาแผ่นดินเข้าประชิดกัน
ดินบางแผ่ง ฐานข้างล่างแคบ ด้านบนกว้าง เมื่อไหลเข้าชนแผ่นดินแผ่นอื่น ก็เกยแผ่นดินกัน เกิดเป็นแนวสันดินขึ้นเมื่อถูกลมและกระแสน้ำป้อนเข้าเนืองๆ แนวเกยกันของแผ่นดินก็ยกสูงขึ้นจนเป็นภูเขาก็มี ก็อย่างที่เราเรียนรู้กันมา มีหลายเทือกเขาที่เกิดขึ้นจากการเกยกัน ชนกันของแผ่นดิน และแผ่นดินเบื้องล่างบางแห่งก็เป็นโพรงในแนวต่อแผ่นดิน
พวกพรหมที่อาศัยแผ่นดินไม่เป็นอันตรายจากการกระทบ การเชื่อมต่อของแผ่นดินพวกนั้น และยังคงเหาะไปมาได้ในระยะใกล้ๆ อยู่เพื่อค้นหาว่าจะมีเครือดินบนแผ่นดินบ้างไหม จะมีกะบิดินหลงเหลืออยู่ตรงไหนบ้างไหม เหมือนกับเราค้นหาของด้วยความเคยชินว่า เราเคยเห็นมันปรากฏอยู่แถวนี้นะ เราเคยเห็นมันปรากฏอยู่แถวนี้ ก็เหาะวนเวียนหาอย่างนั้น สิ้นกาลยาวนาน แต่ก็ไม่ตายอายุขัยของมนุษย์ต้นกัปป์พวกนี้ ไม่มีขีดกำหนดไว้เลย เพราะอกุศลไม่ได้กระทำถึงขีดที่ต้องลงนรกอันลึกที่ยังหลงเหลือ ทั้งกุศลที่จะทำให้ได้เป็นพรหมอาภัสสราก็ไม่ได้ทำ แม้กามภพก็ยังไม่ปรากฏที่ให้ไปอุบัติ มนุสส์พวกนี้จึงไม่มีการตายเพราะไม่มีภพเกิดมาดึงดูดไป จึงไม่จุติ
อาศัยการนึกถึงโอชาแห่งง้วนดิน อาศัยการแสวงหาเป็นปัจจัย อาศัยความระลึกถึงเนืองๆด้วยสมาธิจากจิตแห่งพรหมทั้งหมดนั้น จึงทำให้ปรากฏข้าวสาลีงอกขึ้นจากแผ่นดิน ข้าวสาลีนั้นปรากฏชำแรกแผ่นดินขึ้นมา แล้วดึงดูดโอชาในแผ่นดินรวมเข้าไว้เป็นก้อนในส่วนแห่งก้อนข้าว ประกอบด้วยสีและกลิ่นอันประณีต แม้จะไม่ถึงซึ่งรสและรูปแห่งเครือดินก็ตาม แต่ก็ประกอบด้วยโอชามาก
เมื่อข้าวสาลีงอกขึ้น สำเร็จด้วยจิตรำลึกอันยาวนานของมนุษย์ต้นกัปป์ มันก็แสดงผลปลิออกมา พวกมนุษย์ที่เหาะหาง้วนดินอยู่ จึงได้พบปรากฏการณ์นั้น แล้วพากันลงไปดูแปลงข้าวสาลีนั้น เขาเฝ้าสังเกตและค้นหาส่วนที่จะนำมากินได้ จนรู้ส่วนของข้าวสาลีที่จะนำมากินก็คือ ก้อนข้าว
มนุษย์พวกนั้นก็พากันกินข้าวสาลีในทุ่งข้าวสาลีที่เกิดจากบุญกรรมร่วมกัน เกิดจากจิตโดยรวมของเขา ข้าวสาลีก็ปรากฏอยู่ยืดยาวนาน ทางส่วนการพอกพูนแผ่นดินก็เป็นไปเรื่อยๆ ความเปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆยังคงเป็นไปโดยไม่ต้องรั้งรอจิตใจใครมาสั่ง
มนุษย์ต้นกัปป์กินข้าวสาลีไปเนิ่นนาน ข้าวสาลีมีอณูที่หยาบกว่าเครือดินมาก อณูที่เกิดขึ้นก็เข้าเกาะโครงสร้างทางกายของพรหมพวกนั้น และมีสารอาหารบางอย่างในข้าวสาลีกระตุ้นสัญญาทางเพศในสมองของ
มนุษย์พวกนั้น ทำให้ร่างกายของพวกเขาเริ่มปรากฏเพศขึ้นมา (แรกเริ่ม ตำแหน่งอวัยวเพศนั้น มีสันฐานเหมือนหุ่นตามร้านขาวเสื้อผ้า คือไม่มีอวัยวะส่วนยาวส่วนสั้นในชาย ไม่มีร่องหลืบในพวกที่มีอิตถีสัญญา แต่พอได้ธาตุอันสมกันเข้าไปกระตุ้นสัญญาส่วนนั้น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์ต้นกัปป์ก็ค่อยๆเจริญขึ้น)
พวกที่มีอิตถีสัญญาก็ปรากฏร่องหลืบ ส่วนหน้าอกนั้นยังไม่ต่างกัน พวกผู้ชายก็ปรากฏอวัยวะส่วนยาว ส่วนอัณฑะนั้นยังไม่เจริญ มนุษย์พวกนั้นกินข้าวสาลีนานเข้า เมื่อกาย หนัก ความอิ่มในการกินก็เริ่มมี คือ โครงร่างกายรับธาตุได้เกือบอิ่มตัวแล้ว ความรู้สึกว่าอิ่มก็จึงปรากฏมี ต่างจากตอนแรกที่กินง้วนดิน ความรู้สึกว่าอิ่มไม่มี สามารถกินไปได้เรื่อย แต่ประมาณธาตุเริ่มใกล้อิ่มตัวในการเกาะกุมร่างกายพรหมเพื่อความเป็น
มนุษย์เข้า ความรู้สึกอิ่มธาตุจึงเริ่มมี ก็ทำให้มีช่วงพักการกิน
ในช่วงที่พักการกินนี้ล่ะ ที่เป็นโอกาสให้ได้สังเกตความแตกต่างของกันและกัน
เอ๊ะ ของเธอทำไมไม่เหมือนของฉัน ของฉันทำไมไม่เหมือนของเธอ มันต่างกันไปเพื่ออะไรกัน? คำถามปรากฏแก่จิตสัตว์ผู้ไม่รู้เป็นธรรมดา และการแสวงหาคำตอบก็เป็นเรื่องธรรมดาในสัตว์ผู้ใคร่รู้
ไม่มีความเห็น