ความในใจของ ศ. ระพี สาคริก
ศ.
ระพี สาคริก เป็น “ราษฎรอาวุโส”
คนหนึ่ง ที่ผู้คนเคารพศรัทธาใน “สุทธิ ปัญญา
เมตตา ขันตี” ของท่าน ท่านเมตตาผม
และส่งข้อเขียนความในใจของท่านมาให้ผมเสมอ เมื่อวันที่ 22
มิ.ย.48 ท่านก็ส่งมาให้อีกปึกใหญ่
เรื่องต่อไปนี้มองให้ลึกแล้ว
จะเป็นพลังในการพากเพียรดำเนินการจัดการความรู้ของพวกเรา
จากศรัทธาถึงอำนาจ
ระพี
สาคริก
ก่อนอื่นเรื่อง จากศรัทธาถึงอำนาจ
ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตเขียนจากความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ชีวิต
โดยที่เชื่อว่า สิ่งนี้คือความจริงทั้งหมด
หาใช่อ่านจากหนังสือตำราหรือจำขี้ปากคนอื่นมาพูด
โดยที่รู้สึกว่าสถานการณ์ในสังคมไทยช่วงนี้กำลังวิกฤติหนัก
เนื่องจากกระแสความทันสมัยทางวัตถุไหลบ่าเข้ามาทำลายรากฐานจิตใจคนท้องถิ่น
ทำให้ทั้งสองด้านแทนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างเหมาะสมเปลี่ยนมาสู่น้ำหนักที่มีด้านเดียวอย่างที่กล่าวกันว่า
ช่วงนี้ผู้ที่ขึ้นไปมีหน้าที่รับผิดชอบยิ่งสูง
ส่วนใหญ่ยิ่งบ้าอำนาจ
หากมองในภาพรวมทำให้คนไทยซึ่งมีเชื้อสายเดียวกันมาช้านานจำต้องหวนกลับมาทำร้ายกันเอง
ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในข้อเขียนต่าง ๆ โดยย้ำแล้วย้ำอีกว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างควรมองเห็นสองด้าน
อีกทั้งสามารถหยั่งรู้ได้ว่า
ด้านไหนคือพื้นฐานของอีกด้านหนึ่ง
หากการบริหารและการจัดการ
ซึ่งทุกวันนี้คนชอบเอามาอ้างแบบสมัยนิยม
มีสิ่งนี้อยู่ในหัวใจของผู้บริหารส่วนใหญ่
สังคมจะมีความสงบสุขมากกว่านี้
อีกทั้งเชื่อว่าหากนำปฏิบัติให้มองเห็นความจริงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนย่อมแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมได้ทั้งหมด
และไม่ควรจะส่งผลเสียหายให้กับชีวิตคนกลุ่มไหนทั้งนั้น
จากศรัทธาถึงอำนาจ จริง ๆ แล้ว
ทั้งสองประเด็นหาใช่เป็นคนละเรื่องกันไม่
หากมองให้รู้ได้ถึงรากฐานย่อมตระหนักชัดว่ามีศูนย์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
และสิ่งนั้นก็คือ จิตใจของแต่ละคน
ถ้าเรานำปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยเฉพาะกับเพื่อนมนุษย์จากใจจริง
ตัวเราเองย่อมได้ความรู้ที่เป็นความจริง
อีกทั้งผลที่สนองตอบก็คือความสุขที่เราควรได้รับอย่างยั่งยืนอีกด้วย
สังคมที่มีผู้บริหารส่วนใหญ่นำปฏิบัติได้
ย่อมมีความสุขมากกว่านี้
แม้คนกลุ่มใดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
ตลอดจนชุมชนใดก็ตามหากมีผู้ปฏิบัติได้
ย่อมเป็นเกราะคุ้มกันภาวะล่มสลายให้เชื่อมั่นได้
จากประสบการณ์เท่าที่ผู้เขียนสนใจเรียนรู้มาตลอดชีวิตจนถึงช่วงนี้
ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า
รากฐานจิตใจคนท้องถิ่นถูกอิทธิพลจากความทันสมัยของรูปวัตถุที่มอมเมาด้วยความสะดวกสบาย
หรืออีกนัยหนึ่ง จากรสชาติซึ่งทำให้เสพติด
จนกระทั่งเปลี่ยนนิสัยคนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว
ขาดความเมตตากรุณาและเห็นใจผู้อื่น
เปลี่ยนมาเป็นการบ้าอำนาจ
ดังจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นได้ชัดเจนว่า
ยุคปัจจุบันผู้ที่เข้าไปสู่หน้าที่บริหารและจัดการ
หากตนเองและพรรคพวกจะได้ประโยชน์ในสิ่งที่มุ่งหวังฝังอยู่ในใจ
มักแสดงออกสองด้านด้วยกัน
ด้านหนึ่งอ้างกฎหมายมาใช้บังคับ
กับอีกด้านคิดออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา
ประกอบกับคนทั่วไปส่วนใหญ่มักสะท้อนแนวโน้มที่อยากขึ้นไปมีอำนาจควบคุมบังคับผู้อื่น
แม้จะคิดว่าตนหวังดีต่อสังคม
แต่แล้วสิ่งที่สะท้อนออกมาก็สารภาพความจริงว่าเกิด
ความขัดแย้ง
จนกระทั่งยุติได้ยากยิ่งขึ้นหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
การทะเลาะเบาะแว้งกันมากยิ่งขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือภาพที่ไม่จำเป็นต้องนำเหตุผลอื่นใดมาอ้างเพื่อแก้ตัวเพราะเนื้อหาสาระและสิ่งที่พบเห็นมันเป็นความจริงอยู่ในตัวแล้วทั้งหมด
เมื่อสภาพสังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงมาเน้นอำนาจด้านเดียวเด่นชัดยิ่งขึ้น
ย่อมทำให้ทุกวันนี้จิตใจผู้ที่มีความเที่ยงธรรมสามารถรู้สึกได้ยากยิ่งขึ้นว่า
ยังมีกระแสศรัทธาสะท้อนออกมาให้เชื่อมั่นได้
บางครั้งเมื่อกล่าวถึงคำว่า ศรัทธา
คนส่วนใหญ่ยิ่งไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในระดับสูงขึ้น
มักมีคำถามสะท้อนออกมาเสมือนไม่รู้ความจริงหรือเข้าใจถึงประเด็นนี้
ผู้เขียนเคยเขียนบทความเรื่องหนึ่งไว้นานแล้วโดยให้ชื่อว่า
“การมีอำนาจโดยไม่ต้องใช้อำนาจ
คือการใช้อำนาจที่ถูกด้านแล้ว”
ซึ่งเรื่องนั้นเคยนำลงพิมพ์ในสื่อมาแล้ว
หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า
เหตุใดผู้เขียนถึงได้นำมากล่าวย้ำว่า
ตนสนใจเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้
อาจทำให้รู้สึกว่า การเขียนนั้นได้อะไร?
คงต้องมองสองด้านอีกเช่นกันว่า
ผู้เขียนจะได้อะไร
ซึ่งแน่นอนที่สุดด้านนี้น่าจะหมายถึง
คุณค่าแก่จิตใจตนเอง
ส่วนอีกด้านหนึ่งได้แก่ผู้อ่าน
หากมองผิดด้านเพราะไม่รู้จักตนเองคงคิดว่าผู้เขียนต้องการอวดตัวเองหรือต้องการความโด่งดัง
หรือไม่ก็ต้องการหาเงินมาซื้อวัตถุที่ให้ความสบายแก่ตน
หากผู้เขียนรักที่จะเขียนโดยที่เขียนอย่างมีความสุข
ย่อมทำให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนที่จะเขียนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ซึ่งสิ่งนี้ควรจะได้แก่
การซื่อสัตย์ต่อตนเองในการปฏิบัติและการค้นหาความจริงจากใจออกมาเขียน
หรือที่กล่าวต่อไปอีกว่า
ยิ่งให้ยิ่งได้รับเพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
หากใครมีรากฐานจิตใจอิสระ
สามารถมองเห็นได้รอบด้าน
ควรจะรู้ได้ว่าตนเองควรนำจิตใจและวิถีชีวิตมุ่งไปสู่ด้านไหน
คำว่า ศรัทธา
หากสนใจที่จะค้นหาความจริงเพื่อการเรียนรู้อีกทั้งนำไปสู่ความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
ควรเป็นความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ของตนเอง
ย่อมสร้างความรู้สึกที่เกิดจากใจของเพื่อนมนุษย์ได้ทุกชาติทุกภาษาและทุกศาสนาร่วมด้วย
หากสิ่งนี้มีอยู่ในรากฐานจิตใจบุคคลใด
ย่อมประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นขั้นตอน
โดยที่แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
อีกทั้งไม่มีการพูดไว้เป็นการล่วงหน้าว่า
ตนจะต้องทำให้เรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นผลสำเร็จเมื่อนั้นเมื่อนี้
เพราะนั่นคือความจริงที่อ่านได้ว่า
จิตใจของผู้แสดงออกมีความโลภ โกรธ
หลง
ยึดติดอยู่ในจิตใจไม่ว่าจะหนาหรือบางแค่ไหน
ศรัทธาที่บริสุทธิ์
ไม่ควรมีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปแอบแฝงอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง
แม้การคิดหรือกล่าวออกมาว่า
ฉันจะต้องสร้างศรัทธา
หรือไม่ก็แสดงออกให้อ่านถึงความจริงได้ว่ามีการยัดเยียดให้คนอื่นสร้างศรัทธา
ย่อมบอกได้ว่าในที่สุดจะต้องประสบกับความล้มเหลวไม่ว่าเร็วหรือช้า
การโฆษณาหรือแสดงออกด้วยวิธีการอย่างใดก็ตาม
โดยมีจิตใจไม่บริสุทธิ์หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า
มีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปอยู่ในใจตนเองแม้แต่น้อยนิด
ย่อมทำลายศรัทธาของตนซึ่งควรมีอยู่ในใจและสานถึงจิตใจเพื่อนมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ
ความจริงจึงได้ชี้ไว้ว่า ความหมายของศรัทธา
ย่อมหยั่งรู้ได้เฉพาะตัว
อีกทั้งไม่ยึดติดอยู่กับรสชาติจากผลซึ่งตนปฏิบัติ
หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า
เมื่อมีศรัทธาจากด้านหนึ่ง
ควรมีการปล่อยวางอยู่ในใจตนเองร่วมด้วย
หมายความว่า
เมื่อได้รับสิ่งหนึ่งที่อาจส่งผลให้เกิดรสชาติย่อมมีเกราะคุ้มกันอยู่ในอีกด้านหนึ่งด้วย
จึงจะช่วยให้วิถีชีวิตดำเนินไปอย่างอยู่รอดปลอดภัย
ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนี้มายาวนานพอสมควรแล้ว
จึงใคร่ขออนุญาตยกตัวอย่างซึ่งตนประสบมากับชีวิตตนเอง
ก่อนที่จะได้มีงานประชุมกล้วยไม้โลกมาจัดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2521
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการประชุมระดับโลกครั้งแรกที่จัดขึ้นภายในประเทศนี้
ความจริงผู้เขียนไม่เคยคิดหวังในใจแม้แต่น้อยว่าจะทำงานเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา
แม้แต่ได้ทราบข่าวการประชุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ 2 นครโฮโนลูลู
หมู่เกาะฮาวายในปี พ.ศ.2500
ขณะนั้นตนยังเพิ่งเริ่มชีวิตการค้นคว้าวิจัยเรื่องกล้วยไม้อยู่ในสวนหลังบ้านขนาดเล็ก
ๆ หลังจากได้รับทราบข่าวแล้วยังนึกว่า
มันเป็นเรื่องใหญ่มากและสูงเกินไปสำหรับคนตัวเล็ก ๆ
อย่างเราจะเอื้อมไปถึงได้
ตนจึงยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสนองคุณแผ่นดินอย่างมีความสุขต่อมา
โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาปรากฏแก่สังคมมีการพูดกันปากต่อปาก
จนกระทั่งเงื่อนปมเล็ก ๆ
ดังกล่าวมีกระแสที่กระจายออกไปถึงหูคนที่นั่นอย่างเป็นธรรมชาติ
อนึ่ง
ในช่วงนั้นการบริหารและจัดการที่เป็นทางการของไทยยังคงเห็นว่ากล้วยไม้เป็นเรื่องไร้สาระ
โดยที่เข้าใจว่าหากใครนำมาปลูกน่าจะมีผลทำลายเศรษฐกิจของสังคม
แต่ผู้เขียนต่อสู้กับใจตนเองมาตลอดโดยไม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจ
หรือนำจิตใจไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งอื่น
หากทำด้วยความมุ่งมั่นอย่างมีความสุข นอกจากนั้น
ถ้ามีผู้ใดสนใจเข้ามาหาก็จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างจากใจตนเอง
แม้แต่ในด้านเทคโนโลยี ความรัก
ความสนใจทำให้ดิ้นรนขวนขวาย
แม้ไม่มีทุนรอนแต่ก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ
ซึ่งสังคมเห็นว่าไร้ประโยชน์มาดัดแปลงจับโน่นต่อนี่
โดยไม่รู้สึกดูถูกสิ่งที่ตกหล่นอยู่บนพื้นดินแม้แต่ในกองขยะ
จนกระทั่งใช้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยี
ซึ่งนำมาร่วมพัฒนาโครงการกล้วยไม้
จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปกว้างขวางมากขึ้น
ในปี พ.ศ.2506
นับเป็นปีแรกที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาวายได้แสดงน้ำใจนำผู้เขียนขึ้นเวทีการประชุมกล้วยไม้โลกเป็นครั้งแรก
อีกทั้งยังเข้าไปเป็นสมาชิกในคณะกรรมาธิการสายวิชาการ
โดยไม่ได้คิดฝันอะไรมาก่อน
จากนั้นมา การประชุมกล้วยไม้โลกซึ่งจัดขึ้นทุก 3
ปีโดยที่หมุนวนไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
ซึ่งมีความพร้อมสืบต่อกันมา
ผู้เขียนก็ได้เชิญมาเป็นวิทยากรและร่วมประชุมกรรมการในสายวิชาการมาตลอด
นอกจากนั้นยังมีนิสัยที่ไม่นิ่งดูดาย
หากมีกิจกรรมอะไรก็ตามที่พอจะช่วยได้
ก็แสดงน้ำใจเข้าไปช่วยทุกเรื่อง
อยู่มาวันหนึ่งในปี พ.ศ.2510
ขณะที่ตนได้รับเชิญไปบรรยายในที่ประชุมต่าง ๆ
ในสหรัฐอเมริกาติดต่อกันร่วม 35 มลรัฐ แทบจะตลอด 2
ฝั่งของประเทศ ค่ำวันหนึ่งขณะที่อยู่ในมลรัฐ
ฟรอริด้า
ประธานกรรมการกล้วยไม้โลกซึ่งเป็นสุภาพสตรีได้ขับรถมารับเพื่อไปบรรยายที่สมาคมแห่งรัฐฯ
ผู้เขียนจึงย้อนถามเธอกลับไปว่า
ท่านคิดว่าการที่ฉันมาทำงานให้
เพราะต้องการงานี้ไปจัดในประเทศไทยแค่นั้นหรือ?
ผู้เขียนคิดว่าเธอคงเข้าใจความหมายที่ฉันตอบปฏิเสธถูกจุด
แต่นั่นหาได้หมายความว่าเธอจะมีความรู้สึกเป็นอย่างอื่น
นอกจากความศรัทธาที่เกิดขึ้นในใจ
เนื่องจากเขาหยั่งรู้ได้ว่า ฉันพูดออกมาจากใจ
โดยที่รู้ความจริงว่าบุคคลใดทุ่มเทให้กับงานด้วยความจริงใจ
ย่อมมีความรักความอดทนและมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานเป็นผลสำเร็จได้
ทั้ง ๆ ที่ปีนั้นมีประเทศใหญ่ ๆ
ในยุโรปส่งหนังสือเชิญเป็นทางการร่วมด้วยถึง 3
ประเทศและประเทศในเขตร้อนของทวีปอเมริกาอีก 1 ประเทศ
แต่ปรากฏว่า
ทุกประเทศถอนการเชิญเพื่อเปิดทางให้ประเทศไทย</font>
</font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></em>
จากเรื่องราวที่เล่ามาแล้วทั้งหมดช่วยให้ประเทศไทยได้รับงานดังกล่าวมาอย่างภาคภูมิและสมศักดิ์ศรี
ยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องราวต่อมาอีกว่า
งานครั้งนั้นไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว
หากได้น้ำใจจากธนาคารใหญ่ ๆ
หลายแห่งร่วมทั้งหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน ทั้ง ๆ
ที่มีประเทศซึ่งเข้าร่วมประชุมกว่า 55
ประเทศและมีผู้มาร่วมประชุมในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 3,000
คน
อีกทั้งบางรายได้เข้าอยู่เมืองไทยก่อนและหลังการประชุมประมาณ 1
เดือน นอกจากนั้น
กล่าวอย่างเชื่อมั่นได้ว่า
คนที่สนใจกล้วยไม้จากทั่วโลกมีแทบทุกอาชีพที่เข้ามาใช้โอกาสติดต่อธุรกิจส่วนตัวในเรื่องสายตรงของเขาด้วย
ร่วมทั้งผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เชลล์ จากกรุงลอนดอน
นอกจากนั้น
หลังเสร็จงานแล้วยังมีเงินเหลือมอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไว้ใช้จ่ายเป็นทุนในงานวัยและส่งเสริมเรื่องต่าง
ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาวงการกล้วยไม้อีกก้อนหนึ่ง
และแบ่งปันอีกส่วนหนึ่งไปบำรุงกองทุนกล้วยไม้ของโลกอีกส่วนหนึ่งด้วย
ทั้ง ๆ
ที่ช่วงเตรียมงานเราก็ไม่ได้ขอสนับสนุนจากกองทุนกล้วยไม้โลก
ความจริงยังมีเรื่องที่อาจหยิบยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษาอีกมากมายหลายอย่าง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า
ถ้ามีศรัทธาเป็นพื้นฐานการทำงานย่อมสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจซึ่งเป็นปลายเหตุสุด ๆ
โดยที่ทุกคนในชาติย่อมมีส่วนร่วมในการรับผลอย่างทั่วถึง
</font> </font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></font></em>
สรุปแล้ว
คงต้องกล่าวให้ลึกลงไปถึงจุดที่เป็นรากเหง้าว่า
หากบุคคลใดขาดความศรัทธาที่ควรมีต่อความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเอง
ย่อมหวังได้ยากว่าจะเกิดความรู้ความเข้าใจ
และให้ความซาบซึ้งต่อความรู้สึกศรัทธาอันควรได้รับจากใจเพื่อนมนุษย์และสรรพชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
ซึ่งตนมีโอกาสสัมผัสในการดำเนินชีวิตประจำวัน
17 มิถุนายน 2548
นี่คือ
“เรื่องเล่า” ที่ทรงพลังนะครับ
วิจารณ์ พานิช
23
มิ.ย.48