รัฐบาลกลางโศก


ความเรียง ถึงความคาดหวังในโมงยามแห่งความสูญเสีย ในความคาดหวังต่อการจัดตั้งรัฐบาล การวางท่าทีอันเหมาะสมของรัฐบาล ในช่วงเวลานี้ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤติของสังคมไทย เมื่อครา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงสิ้นพระชนม์ มีเพียงหัวใจ และความตระหนักอันละเอียดอ่อนเท่านั้น ในภาวะวิกฤติของบ้านเมืองไทยเช่นนี้

รัฐบาลกลางโศก

หนทางเบื้องหน้า

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

การจัดตั้งรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

รัฐบาลซึ่งจัดตั้งขึ้น ในท่ามกลางพระราชพิธีหรือพิธีการพระศพ ล้วนแต่เป็นรัฐบาลภายใต้ความสุขุมสุภาพ แลลึกซึ้งด้วยเนื้อในแห่งภารกิจสำคัญ ภายใต้ความโศกเศร้าของอาณาประชาราษฎร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน พลเมือง ประชาชนคนไทยทั้งหลายต่างมีเรื่องราวในแต่ละความเศร้า

รัฐบาลยามนี้ จึงเป็นรัฐบาลที่น่าหนักใจ

ในท่ามกลางเรื่องราวคาดหวัง

ภายใต้ภารกิจสำคัญ

นอกเหนือจากห้วงยามแห่งการบริหารราชการแผ่นดิน ภารกิจระดมจิตใจผู้คนท่ามกลางความสูญเสีย คือเครื่องพิสูจน์สำคัญยามนี้ นอกเหนือจากถามหาด้วยผลงาน เพื่อนำพาสุขทุกข์ของผู้คน ให้ก้าวพ้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ นำพาความสมัครสมานสามัคคีของผู้คนในชาติ กลับสู่การหลอมรวมทั้งหัวใจ ดวงใจ และศรัทธาคนไทย

ภาระหนักสำคัญ

ซึ่งรัฐบาลที่ยังไม่จัดตั้ง

ต้องแบกไว้ก่อนเริ่มต้นจึงสำคัญยิ่ง

สิ่งสำคัญซึ่งพึงตระหนักครั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ไทย ล้วนเป็นเรื่องราวอันน่ากังวลใจ หนักหนา และต้องอาศัยความเข้มแข็งอย่างยิ่ง จึงจะก้าวผ่านไปได้ นอกเหนือจากก้าวผ่านไปด้วยความสามารถ ยังคงต้องขอแรงใจกายจากผู้คนรอบข้างให้ช่วยสนับสนุน

เล่ากันว่า ปริศนาธรรมหนึ่งถึงการเดินทาง

เพื่อการอัญเชิญพระไตรปิฎก

ไม่ใช่นำหน้าด้วยศรัทธา

แต่เป็นการนำหน้าด้วยปัญญา ที่กำกับด้วยศีล และสมาธิตามมา ด้วยการถึงพร้อมจากความคิดนำทาง สนับสนุนด้วยหลักปฏิบัติ และความมุ่งมั่นแน่วแน่ จึงจะฝ่าข้ามทะเลไฟ ห้วงน้ำใหญ่ ขุนเขาตระการตา หรือกระทั่งหลุมดำในใจ ยามนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติของหลุมมากมาย

การผสมผสานหลักคิด

จึงสำคัญอย่างมากในยามนี้

ยามที่วิกฤติมิได้มีเพียงคำถามถึงหลักการ

แต่กลับเป็นคำถามของความไม่มั่นใจ ท้อแท้ใจ ท่ามกลางวิกฤติของความสูญเสีย ซึ่งปรากฎในแววตา สีหน้าท่าทาง และเรื่องราวคำถามในใจผู้คน ว่าวันหน้าคนไทยจะก้าวไปเช่นไร ในท่ามกลางความสูญเสียครั้งใหญ่ มากกว่าโมงยามปกติของรัฐบาลปกติ รัฐบาลชุดใหม่ที่ก้าวเข้ามา พึงจะต้องตระหนักถึงภาระเหล่านี้

ในโมงยามแห่งความสูญเสียครั้งนี้

ในวันเวลาของกาลกำสรวล

นอกจากส่งเสด็จ

รัฐบาลที่ก้าวเข้ามา ยังต้องทำสิ่งล้ำค่ามากกว่าที่ควรจะกระทำในยามปกติ อาจฟังดูเป็นการคาดหวังจนเกินไป แต่สิ่งที่ตัดสินด้วยประวัติศาสตร์ และวันเวลาที่บอกกล่าวด้วยสิ่งที่พึงกระทำ ในห้วงยามแห่งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จึงเป็นโมงยามที่คนไทยคาดหวังอย่างมิต้องสงสัย

 

นอกเหนือจากความคาดหวังครั้งนี้

บทบาทรัฐบาลซึ่งจำต้องอาศัยความเข้าใจเฉพาะ

ว่ามิได้มีเพียงฉลาดด้วยปัญญา แต่ยังต้องเหมาะสมในเวลา

ในห้วงเวลาที่เราต้องเรียกร้องความจำเป็นสูงสุด ทุกอย่างขยับไปสู่การเบียดอัด เรื่องราวบางสิ่งควรรีบกระทำ บางอย่างควรสุขุมรอบคอบ ใช้สติให้มากในแต่ละครั้งของความขัดแย้ง ใช้ปัญญาให้สูงในแต่ละคราวของการต่อรอง เพราะทุกสิ่งล้วนจารึกผลการตัดสินใจไว้ในประวัติศาสตร์

มิบ่อยครั้งนัก ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ซึ่งเรื่องราวบีบอัดไว้จนต้องตระหนัก

เขม็งให้ต้องเข้าใจอย่างมาก

ฉุกคิดให้เยอะ ตระหนักให้มาก กว่าจะตัดสินใจทำการสิ่งใด ทั้งจะโดยอ้างความชอบธรรมของคณะรัฐมนตรี คำสั่งคณะรัฐบาล หรือข้อถูกต้องทางกฎหมายใดในท่ามกลางความอ่อนไหวของใจคนไทย อันจะก่อให้เกิดกระแสความไม่พึงพอใจของประชาชนและผู้คน ทุกสิ่งคือโจทย์สำคัญซึ่งรัฐบาลใหม่พึงตระหนัก

โมงยามนี้ ไม่ใช่เวลาธรรมดา

ช่วงขณะเช่นนี้ ไม่ใช่สถานการณ์อันพลิกพลิ้ว

วันนี้ไม่ใช่เกมการเมือง ในท่ามกลางความสูญเสียของคนไทย

มีโจทย์มากมายของการตัดสินใจ แต่ไม่ใช่สำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินยามวิกฤติ ความไหวหวั่นใจของคนไทย สะท้อนออกมาได้จากทั้งสีเสื้อและสีหน้า ที่เราสัมผัสได้และมองเห็น ความเศร้าโศกสามารถแปรเปลี่ยนไปพลังได้ทั้งสองหนทาง ขึ้นกับคณะตัวแทนผู้บริหารราชการแผ่นดิน ในนามของคณะรัฐบาล

พึงเข้าใจและตระหนักอย่างสูง

แม้มิใช่ใช้สมองปัญญาคิด

ก็ขอเพียงใช้ความรู้สึก

ขอเพียงใช้หัวใจจับอารมณ์ความรู้สึกคนไทย คอยสังเกตุในแต่ละขณะของลมหายใจ ในท่ามกลางความสูญเสียและเศร้าหมอง ในลมหายใจแห่งพระราชพิธีไว้ทุกข์ นับเนื่องจนกว่าจะร้อยวัน กระทั่งจนกว่าจะมีพระราชพิธีศพซึ่งเสร็จสิ้นสมบูรณ์ โมงยามเช่นนี้ชวนให้ตระหนักยิ่ง

หนทางเบื้องหน้าจึงมีเพียงความคาดหวัง

สำหรับภารกิจในรัฐบาลใหม่

รัฐบาลในภาวะวิกฤติ

จะคิดจะกระทำสิ่งใด ในแต่ละความจำเป็น แต่ละความตระหนักถึงภาระผูกพันแห่งความรู้สึกของคนไทย ท่ามกลางความสูญเสียเหล่านี้ มีสิ่งที่พึงกระทำมากกว่าน้ำตาแห่งความเจ็บปวด มีเรื่องราวที่หนักแน่นมากกว่า ในท่ามกลางความดำมืดของสีเสื้อและจิตใจคนไทยทั้งแผ่นดิน

มีเพียงความตระหนักของรัฐบาล

มีเพียงภารกิจของรัฐบาลในโมงยามวิกฤติ

ว่าประเทศไทย จะก้าวผ่านโมงยามเหล่านี้ไปได้เช่นไร

ขอจงใช้หัวใจไตร่ตรอง เถิด

 

หมายเลขบันทึก: 157255เขียนเมื่อ 3 มกราคม 2008 18:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • สวัสดีครับ คุณนารี
  • สวัสดีปีใหม่ ปี 2551 ครับ
  • ขอบคุณมากครับ สำหรับโปสการ์ดปีใหม่ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนละลานตายิ่งครับ ขอบคุณอย่างมากครับ
  • จะต้องแวะเวียนไปอ่านอีกหลายรอบครับ
  • ส่วนการรอคอย
  • และการตั้งตารอเพื่อก้าวให้พ้นวิกฤติของคนไทย
  • เราคงต้องช่วยกันอย่างยิ่งครับ
  • ช่วยกันในโมงยามอันวิกฤติ
  • ให้กำลังใจ และภาวนาสำหรับการก้าวผ่านครับ
  • ขอบคุณมากครับ
  • สวัสดีปีใหม่ครับ

โลกนี้ "ไม่มีบังเอิญ" และ โลกนี้ "ไม่มีโชคร้าย" ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุปัจจัยให้เรียนรู้ได้เสมอ การศึกษาในธิเบตจึงให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดว่า "ดุจน้ำค้างที่สลายเมื่ออดแผดเผา ดุจสายฟ้าแลบ ดุจดั่งภูตหลอน" คือมันมาแล้วมันก็ไปครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท