“แต่ก่อนเวลาเข้าเมือง ผมรวมทั้งเพื่อนๆ ผมทุกคนรู้สึกอายที่จะให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นปกาเกอะญอ เราจะสวมใส่ชุดแบบสมัยใหม่และทำอะไรให้กลมกลืนไปกับคนเมือง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่อาย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร บรรพบุรุษผม รากเหง้าผมคือปกาเกอะญอ พวกเรามีความรู้ มีภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคน เราจึงดำรงเผ่าพันธุ์ของเรามาได้ถึงทุกวันนี้”
วันเสาร์กลางเดือนตุลา ๕๐ ผมไปร่วมกับคณะอาจารย์ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้จากหลายศูนย์เรียนรู้ในเขตเชียงใหม่ เพื่อฟังนักศึกษานำเสนองานวิชาการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันนั้นมีนักศึกษาร่วมร้อยคนมาร่วมจากหลายอำเภอ เช่น อ.เมือง อ.ดอยสะเก็ด อ.อมก๋อย อ.แม่ออน และ อ.แม่วาง มาพร้อมกันที่วัดร่องขุ่น อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ อันเป็นที่ตั้งศูนย์เรียนรู้มหาวิทยาลัยชีวิตอำเภอดอยสะเก็ด
การนำเสนอดำเนินไปทั้งวัน กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ตั้งแต่เช้าจนบ่ายแก่ๆ ถึงคิวของกลุ่มนักศึกษาจากศูนย์เรียนรู้ อ.แม่วาง ออกมานำเสนอ
ตัวแทนของนักศึกษากลุ่มนี้คนหนึ่งสวมเสื้อแจ็กเก็ตฟิลด์ตัวใหญ่
พร้อมถือเครื่องดนตรีรูปร่างแปลกๆ คล้ายๆ Harp
แบบโบราณที่ผมเคยเห็นในภาพของชาวอียิปต์โบราณออกมาด้วย
ก่อนที่จะเริ่มนำเสนอเขาถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก
เผยให้เห็นเสื้อแบบชนชาติของเขา
ซึ่งผมดูก็รู้ทันทีว่าเป็นปกาเกอะญอ
เขาบอกที่ประชุมสัมมนาว่าชื่อเจริญ ดินุ จะนำเสนอเรื่องเครื่องดนตรี “เตหน่า” ผมจึงได้ทราบว่าเครื่องดนตรีที่เขาถือออกมาเรียกว่า เตหน่า
ก่อนที่จะเล่าเรื่องเครื่องดนตรีเตหน่า
เขาขอเล่นให้ฟังเพลงหนึ่งก่อน
เพลงที่เขาเล่นและร้องเป็นภาษาปกาเกอะญอเพลงนั้น
ผมฟังแล้วรู้สึกคุ้นมาก นึกไปนึกมาก็นึกออกว่าคือเพลง
“คนกับควาย” ของวงคาราวานนั่นเอง
แต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาปกาเกอะญอ
เล่นจบไปเพลงหนึ่งแล้ว เขาก็เล่าให้พวกเราฟังว่า
เขารักเครื่องดนตรีนี้มาก
ไปที่หมู่บ้านไหนได้ยินเสียงเตหน่าก็รู้ทันทีว่าเป็นหมู่บ้านของชนชาติเดียวกัน
ผู้เป็นเจ้าของเตหน่าแต่ละตัวจะสร้างเครื่องดนตรีชนิดนี้ขึ้นมาเองจากไม้และสายเบรกรถจักรยานยนต์และจักรยานถีบ
ในการนำเสนอนักศึกษาแต่ละกลุ่มต้องนำเสนอ “คุณค่า” ของความรู้ที่ตนได้พบมาจากการศึกษาด้วย ผมจำได้ว่าวันนั้น เจริญเป็นผู้นำเสนอเรื่องคุณค่า “ด้านจิตวิญญาณ” ออกมาจากเครื่องดนตรีเตหน่าที่เขาถืออยู่ในมือ และจากแววตาที่เขามองผู้ฟังได้ชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง
นักศึกษาที่มาจากศูนย์เรียนรู้ อ.แม่วาง มีนักศึกษาที่เป็นชนชาติ “ปกาเกอะญอ” หรือที่คนเมืองเรียกพวกเขาว่า “กะเหรี่ยง” อยู่หลายคน แต่ผมมักหลีกเลี่ยงที่จะพูดคำว่า “กะเหรี่ยง” ไม่ว่าที่ใดโอกาสใด เพราะเคยมีคนบอกผมเมื่อสัก ๓๐ ปีมาแล้วว่า คำว่า “กะเหรี่ยง” หรือ “Karen” ในภาษาฝรั่งนี้ ชาวปกาเกอะญอเขาไม่ชอบเพราะเป็นคำที่อมความหมายของความดูหมิ่นถิ่นแคลนพวกเขาว่าเป็นคนป่า นับแต่นั้นมาผมจึงไม่เรียกพวกเขาว่า “กะเหรี่ยง” อีกเลย
ปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศทางเหนือเริ่มหนาว
ผมไปถ่ายทำวิดีโอสารคดี “ปริญญาชีวิต”
ที่น่านและเชียงใหม่
คราวนี้เรามีโอกาสได้ขึ้นไปเยี่ยมและถ่ายทำเรื่องราวของเจริญที่บ้านหนองเต่า
ต.แม่พริก อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่
จากการพูดคุยกันกับพ่อ แม่ และพี่ชายของเจริญ ทำให้ได้ทราบว่า เจริญเพิ่งมาเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมหลังจากเข้าเป็นนักศึกษาในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต
พี่ชายเล่าว่าเขาเป็นคนสอนเจริญทำเครื่องดนตรีเดหน่าและสอนวิธีเล่นให้เอง ก่อนนี้เจริญจะเล่นแต่กีตาร์ เดี๋ยวนี้เขากลับมารักทุกอย่างที่เป็นปกาเกอะญอ
เจริญทำงานเป็นพนักงานบริการผู้ป่วยที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแม่วาง
โดยพักอยู่ที่หอพักระหว่างวันจันทร์-ศุกร์ และจะกลับหนองเต่าในวันหยุด
เขาเอาเตหน่าติดตัวไปแม่วางและเอากลับมาด้วยทุกครั้งที่กลับหนองเต่า
เจริญบอกว่า
“ผมอยู่ที่ไหน เตหน่าอยู่ที่นั่น
บางคืนผมก็นอนกอดเตหน่า” ซึ่งผมวิเคราะห์เอาเองในใจว่า
เขาใช้เตหน่าเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งที่คอยเตือนให้เขาระลึกถึงตัวตนของเขาที่เป็นปกาเกอะญอ
“แต่ก่อนเวลาเข้าเมือง ผมรวมทั้งเพื่อนๆ ผมทุกคนรู้สึกอายที่จะให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นปกาเกอะญอ เราจะสวมใส่ชุดแบบสมัยใหม่และทำอะไรให้กลมกลืนไปกับคนเมือง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่อาย ผมรู้ว่าผมเป็นใคร บรรพบุรุษผม รากเหง้าผมคือปกาเกอะญอ พวกเรามีความรู้ มีภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคน เราจึงดำรงเผ่าพันธุ์ของเรามาได้ถึงทุกวันนี้”
“ผมจะลืมรากเหง้าตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อรกของผมและของพี่น้องทุกคนก็ฝังรวมกันอยู่ที่ใต้บันใดบ้านนี้” เจริญพูดขึ้นขณะพาพวกเราเดินขึ้นบันใดบ้านพ่อแม่
ฟังแล้วผมจึงได้เข้าใจว่า เจริญสวมชุดปกาเกอะญอไปเรียนในวันนั้น(และวันอื่นๆ) อย่างตั้งใจ
ตั้งใจยืดอกประกาศตัวเลยว่า “ข้าพเจ้าเป็นปกาเกอะญอ” และกล้าประสานตากับใครก็ตามอย่างไม่รู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ของตัวเองจะน้อยไปกว่าใครที่ไหน
ผมเล่าเรื่องหนุ่มปกาเกอะยอคนนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นผลที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของนักศึกษาที่เข้าในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต
เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ลึกลงไปในระดับจิตสำนึกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล
เป็นตัวอย่างของคนที่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เห็นคุณค่าของตัวเอง เกิดความมั่นใจในตัวเอง ในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์คนหนี่งของตัวเองและเผ่าพันธุ์
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ อ.เสรี พงศ์พิศ ที่พูดกับนักศึกษาอยู่เสมอว่า เรียนในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิตแล้วจะต้องสามารถ “อยู่ในท้องถิ่นได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกิน” และ “เรียนแล้วต้องได้ทั้งปัญญาและปริญญา”
และสำหรับหลายๆ คน พวกเขาได้ “ปริญญาชีวิต” ไปแล้ว ก่อนที่จะได้ปริญญาบัตรในอีกปีกว่าๆ
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๒๕ ธ.ค.๕๐
หมายเหตุ - อ.เสรี พงศ์พิศ เคยเขียนถึงคำถามของนักศึกษาที่เป็นปกาเกอะญอ ในชื่อเรื่องว่า การฟัง การอ่าน และความสุข คำถามของปะกากะญอ ในเว็บไซต์ของท่าน (www.phongphit.com) คลิกอ่านได้ที่ http://www.phongphit.com/index.php?option=com_content&task=view&id=262&Itemid=2
คุณเจริญเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๒ ครับ อ.สุรศักดิ์
ขอบพระคุณท่าน อ.สุรเชษฐ์มากครับ
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์(พี่) เชษฐ สำหรับบทความดีๆ อ่านสนุก ได้ความรู้ใหม่ๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสไปเดินทางบ่อยนัก ..อ่านแล้วตัวเองรู้สึกสุขใจจากการอ่านจริงๆ คะ
ขอชื่นชมคุณเจริญ ดินุ อีกครั้งจากใจจริงคะ สำหรับ"การเป็นตัวอย่างของคนที่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เห็นคุณค่าของตัวเอง"
อ่านเรื่องคุณเจริญก็นึกถึง คำของ Socrates ที่กล่าวไว้ว่า ................."He is the richest who is content with the least, for content is the wealth of nature ผู้ที่มีความพอใจต่อสิ่งเล็กน้อยที่ตนมีอยู่ คือผู้ที่ร่ำรวยที่สุด เพราะนั่นคือทรัพย์ของธรรมชาติ"
สวัสดีปีใหม่ naree suwan
เข้าไปดูโปสการ์ดแล้วครับ ขอบคุณมากสำหรับความรู้ รูปปลาแซมอนน่าทึ่งจังเลยครับ
ดีใจมากครับ ที่ได้เห็นนายเจริญ เพราะเจริญอยู่บ้านหนองเต่า บ้านเกิดผมเอง ส่วนผมมาอยู่ที่ออสเตรเลียแล้วหล่ะ แต่ผมเองก็ไม่เคยลืมเตหน่าครับ เตหน่าที่ออสเตรเลีย เมืองเมลเบอมร์สงสัยมีตัวเดียวครับ มีปู่คนหนึ่งย้ายมาอยู่ที่ออสเตรเลีย พร้อมนำเตหน่าติดตัวมาด้วย พอจะขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิตม.ไม่ให้นำเครื่องดนตรีชิ้นนี้ขึ้นเครื่อง ปู่บอกกับตม.ว่าถ้าไม่ให้นำเตหน่าชิ้นนี้ขึ้นเครื่องผมจะไม่ไปออสเตรเลีย ตม.เลยยอมให้ขึ้น มาวันนี้ที่ออสเตนเลียปู่แก่มาก บอกกับผมว่าปู่เล่นไม่ไหวแล้วเลยมอบให้ผมเล่นครับ ที่ออสเตรเลียมีกะเหรี่ยงมากแต่ไม่เห็นมีไครเล่นเตหน่าเป็นเลย ที่ออสเตรเลียถ้าไครเล่นดนตรีชิ้นนี้เป็น บอกได้เลยครับ เท่มากๆ ฝรั่งชอบมากครับไม่เคยเห็นเครื่องดนตรีชิ้นนี้มาก่อนครับ ผมดีใจที่เยาวชนบ้านผมเล่นเตหน่าเป็นกันหลายคนแล้วครับ สู้ๆ เป็นกำลังใจให้ครับ
ขอบคุณคุณชญานนท์ที่เขียนความเห็นในบล็อกผม
ผมจะส่งต่อข้อคิดเห็นนี้ไปถึงคุณเจริญนะครับ
อ้อ...ฝากความนับถือในจิตวิญญาณของปู่คุณชญานนท์ด้วยครับเรื่องที่ยืนยันว่าถ้าไม่ให้เอาเตหน่าขึ้นเครื่อง ตัวผู้โดยสารนี้ก็จะไม่ขึ้นเครื่่องเช่นกัน
ขอบคุณพี่ สุรเชษฐ มากครับ ผมติดตามงานเขียนของพี่ อ่านแล้วรู้สึก happy มากครับ
ครับ ผมต้องขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ ดร.เสรี พงศ์พิศและท่านอาจารย์ สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ อย่างสูงครับที่ท่านอาจารย์ ได้เห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆที่เป็นเครื่องดนตรีของชน ปากาเก่อญอ เครื่องดนตรีนี้ คือ เตหน่า บางครั้งบางคราวเราอาจมองข้ามสิ่งที่เรามีอยู่ในตัวสิ่งที่ใกล้ตัวทั้งที่มีคุณค่า มีความหมาย แต่เรามองไม่เห็น ดังนั้นผมอยากเชิญชวนพี่ๆเพื่อนๆและน้องๆทุกคนทั้งที่เป็น ปากาเก่อญอ และรวมทั้งพี่น้องชนเผ่าอื่นๆว่า เอกลัษณ์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีอยากจะให้เก็บรักษาและ สืบทอดเจตนรมณ์ของบรรพบุรุษเพื่อให้คงอยู่คู่ชนเผ่าต่อไปและถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน รู่นต่อรู่น เพราะสิ่งเหล่านี้ มีคุณค่า มีความหมาย มีจิตวิญญาณ เราอาจมองด้วยตาอาจไม่เห็น กาลเวลา โลก อาจไม่อยู่กับที่ แต่เราสามารถอยู่ได้2โลกคือ โลกของชนเผ่า และโลก ณ.ปัจจุบัน
นายเจริญดูเป็นผู้ใหญ่เยอะเลยนะพี่ ใช่ทุกเผ่ามีค่าของตัวมันเอง เราแตกต่างแต่เราไม่แตกแยก ขอให้โลกนี้มีแต่ความสงบสุข