๒๔ พ.ย. ๕๐
ตอนนี้ก็บ่าย ๓ แล้วครับ ครบ ๒๔ ชม.หลังจากการปิดหีบเลือกตั้งและปรากฎการณ์ฝุ่นตลบในการจับขั้วตั้งรัฐบาล แต่ฝุ่นก็คงยังคลุ้งต่อไปครับ เพราะดูแล้วยังไม่มีอะไรชัดเจนนัก ต้องรอการรับรองและจำนวนใบเหลืองแดงกันอย่างจดจ่อ
สำหรับคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างผมก็ได้แต่สังเกตุการณ์ ใช้สิทธิของตนล่วงหน้าและคอยรับฟังข่าวจากสื่อและเพื่อนฝูง แต่ก็อยากคิดไปข้างหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคม อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะมารับภาระการบริหารประเทศ งานหนักงานหนึ่งคือเรื่องพลังงานที่คงต้องทบทวนหลายเรื่อง เร่งรัดและริเริ่มหลายเรื่องเช่นกัน
อย่างเช่นกรณีการประกาศลอยตัวค่าก๊าซหุงต้มเป็นต้น ถ้าอ้างอิงตลาดโลกและการบิดเบือนโครงสร้างการใช้พลังงาน การตัดสินใจนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว และสั่งการไปแล้ว
แต่ถ้ามาดูว่า ๒.๑ ล้านตันของก๊าซหุงต้มในปีที่แล้วมาจากโรงแยกก๊าซซึ่งมาจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย (ที่ควรจะเป็นของคนไทยทุกคน) อีก ๑.๔๘ ล้านตันมาจากโรงกลั่นซึ่งมาจากน้ำมันดิบนำเข้า เราก็งงๆ อยู่ว่าการลอยตัวหรือขึ้นราคาครั้งนี้มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่
ยิ่งดูต่อว่า ๑.๗๒ ล้านตันเป็นการใช้ในการหุงต้มตามครัวเรือน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาการตัดไม้มาทำฟืน-ถ่าน และช่วยลดมลพิษจากควันไฟซึ่งเคยเป็นสาเหตุโรคปอดในสตรีและผู้สูงอายุแล้วก็ยิ่งมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เพราะคำชี้แจงของการขึ้นราคาบอกว่าเพราะคนเอาไปเติมรถยนต์และรถแทกซี่มาก สถิติบอกไม่ใช่ครับ เพราะใช้ในยานยนต์เพียงสี่แสนหกหมื่นตัน หรือ ๑/๔ ของการหุงต้ม ที่ตกใจก็คือมีการส่งออกต่างประเทศอีกห้าแสนเจ็ดหมื่นตัน หรือเราต้องการให้คนหันกลับไปใช้ฟืนใช้ถ่านกันอีก
ถ้าจะขึ้นราคากับผู้เอาไปเติมรถอย่างเดียวก็พอฟังรับฟังได้ แต่การประกาศขึ้นราคาทุกสาขาไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้
มีคนบอกว่าบริษัทก๊าซและน้ำมันขายส่งออกแล้วนำเงินเข้าประเทศ
ก็อยากถามต่อว่าเข้าจริงหรือ และเท่าไหร่ อย่างไร
ใครสนใจขัอมูลสถิติเรื่องนี้ไปดูได้ที่ www.eppo.go.th
ไม่มีความเห็น