(2) โอกาสในการเรียนรู้
ศิลปะการแสดงท้องถิ่น
กับความจำเป็น
ความโดดเด่นที่ถามหา
เมื่อนั้นแหละครับ จะถึงเวลาที่เราคนไทยทั้งหลาย จะได้ภาคภูมิใจกับเด็ก ๆ อีกเป็นจำนวนมากที่เขามีความพร้อมที่จะแสดงความสามารถในการเล่นเพลงโบราณให้คนรุ่นใหม่ได้ดูอย่างชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่า เขาจะทำได้ หากขืนรอช้าต่อไป คงได้ยินเพียงคำว่า “น่าเสียดาย” แล้วจะได้อะไรขึ้นมา เป็นข้อความในตอนที่ผ่านมา
ในตอนที่ 2 นี้ ผมขอนำเอาข้อคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ที่ผมได้รวบรวมมาเล่า ความจำเป็นในการเรียนรู้ศิลปะการแสดงท้องถิ่น มีหลายแง่ให้เก็บเอามาคิดว่า ทำไปทำไม ได้อะไรขึ้นมา คุ้มไหมที่ทำ ใครได้ใครเสีย ใครสร้างสรรค์ ใครทำลาย ใครรักษา ใครปล่อยปละละเลย และที่สำคัญ คนประเภทไหน ที่เรียกหาความเป็นเอกลักษณ์ของแผ่นดินถิ่นเกิด ผู้สร้าง หรือผู้ดู หรือผู้ให้การสนับสนุน
ผมมีความเชื่อว่า คนที่ทำงานด้านภูมิปัญญาอยู่ในสถานศึกษามีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก แต่คนที่แข็งใจทำทั้งที่มีปัญหาอุปสรรคขวากหนามกั้นขวาง แล้วก้าวข้ามไปได้ มีอยู่ไม่มาก เป็นคนกล้ากลุ่มน้อยที่ไม่มีผู้มองเห็น หรืออาจจะเห็น อาจจะได้ยิน อาจจะเคยได้สัมผัส แต่จำเป็นต้องทำเป็นเมิน ผมคิดว่า คนกลุ่มน้อยที่เขาทำงานภูมิปัญญาท้องถิ่นยังคงพออยู่ได้นะ
ครูสอนหนังตลุงที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านยังยืนหยัดอยู่กับลูกศิษย์ของท่านอย่างมั่นคง โดยเริ่มตั้งแต่การฟอกหนังวัว นำเอามาเขียนลาย ตัด เจาะ ผูกมัดเป็นรูปตัวหนัง ฝึกหัดเชิดหนัง ทำการแสดง รับงานแสดงทั่วไป ทำให้นักเรียนมีรายได้อย่างน่าชื่นชมมาก
ครูสอนโปงลางในโรงเรียนแถบภาคอีสาน แต่แรกเริ่มทำกันในครอบครัว ต่อมาขยายผลไปสู่การจัดการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการแสดง และฝึกหัดทักษะให้กับนักเรียนจนมีความสามารถรับงานแสดงได้ทั่วไป เด็ก ๆ เขาก็ดูมีความสุขกับงานมากนะ
ครูสอนสะล้อซอซึงในภาคเหนือ นำเด็กตัวน้อย ๆ มาขับซอ ผมไปยืนฟังเสียงและชมภาพการแสดงแล้วอยากที่จะร้องไห้ ให้กับบุญตาที่ได้เห็น เด็กตัวเล็ก ๆ จนถึงเด็กโตขึ้นมาหน่อย ขับซอได้อย่างอ่อนหวานประทับใจ
ในแถบภาคกลางมีครูหลายท่านสอนและฝึกหัดให้นักเรียนเล่นลำตัด เพลงพาดผ้า เพลงทรงเครื่อง เพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงแหล่จนถึงการด้นกลอนสด ๆ ทั้งที่นักกลอนระดับผู้ใหญ่ยังทำไม่ได้ (เด็ก ๆ เขาทำได้)
เพราะเด็ก ๆ เขามีความตั้งใจในการฝึก ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอันยาวนานเขาก็มีความอดทน ทั้งนี้เพราะครูผู้สอนมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ได้ตามผลของการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือครูผู้สอนท่านนั้น ๆ อาจจะมีความหวังที่ไกลเกินกว่าแค่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสียอีก จึงได้เป็นที่มาของวงเพลงเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นมาในสถานศึกษามากมายหลายแห่ง
ความจำเป็นที่จะต้องทำ
ทั้งหมดนี้ เป็นภาพจริงที่มองเห็นได้ในสถานศึกษา ระดับโรงเรียนทั้งในระดับชั้นประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาส และในระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่มุมมองที่ผมต้องนำเอาเรื่องนี้มาเล่าคือ อยากจะชี้ให้เห็นว่า คุณครูหลายท่านที่ทำวงเพลงพื้นบ้านในทั่วทุกภาค ทำด้วยใจรัก รักที่จะทำงานเช่นนั้น และทุกวงเพลงที่ผมได้ไปสัมผัสมา เขาก็ได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มากบ้างน้อยบ้างตามที่เด็ก ๆ จะสามารถพัฒนาไปได้ และที่น่าสนใจคือ ครูเหล่านั้นเป็นครูผู้สอนในรายวิชาทั่ว ๆ ไป หาใช่ครูที่จบมาจากสาขาการแสดงไม่ หรือมีก็คงจะน้อยมาก ในส่วนที่เกาะติดอยู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการแสดงพื้นบ้านตัวจริง ส่วนมากเป็นครูที่ฝึกหัดเพลงมาจากครูเพลงชาวบ้าน แล้วนำเอาวิธีการมาถ่ายทอดสู่นักเรียนอย่างได้ผล
ผมอยากจะเรียนไปยังผู้ที่มีความสนใจและศึกษาทางด้านนี้โดยตรง โปรดได้หันกลับมามองย้อนหลังบ้างว่า ท่านได้มีส่วนร่วม ท่านได้เป็นผู้ดำเนินการ ท่านได้เป็นผู้นำในการรักษาศิลปะการแสดงท้องถิ่นอย่างถาวรแล้วหรือยัง หากยังรีบเริ่มต้นเถิดครับ เพราะท่านได้เรียนรู้มาโดยตรง ยิ่งถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญการ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยแล้ว รีบเร่งครับ ทำเสียก่อนที่จะต้องถามหาว่า เพลงพื้นบ้านประเภทนั้นสูญหายไปได้อย่างไร เมื่อไหร่ เพราะใครและที่สำคัญยิ่งคือ การสร้างตัวตายตัวแทน เพื่อให้ภูมิปัญญาด้านนี้ยังคงอยู่อย่างแท้จริง อาจจะใช้หลักการของท่านไม่ได้เลย เพราะท่านมิใช่บุคคลต้นแบบที่คิดสิ่งนี้มา ปราชญ์ชาวบ้าน ปราชญ์เดินดิน ผู้รู้ในท้องถิ่นเขาเป็นคนต้นคิด วิธีการของบรมครูเหล่านั้นต่างหากที่จะช่วยรักษาของเดิมเอาไว้ได้
ความเป็นเอกลักษณ์ของแผ่นดินถิ่นเกิด จะยังคงอยู่ได้ไม่มีสูญหายถ้า ยังมีบุคคลผู้สร้าง สรรค์ผลงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังมีผู้ดูผู้ชมหรือผู้ให้การสนับสนุน เฝ้าดูแลเอาใจใส่อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยปละละเลย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องไปฝึกหัดศิลปะท้องถิ่นกับครูเพลงชาวบ้าน มิใช่ไปตามเก็บข้อมูลนำเอามาเขียน นำเอามาพิมพ์ลงในเล่ม (จะได้แค่เรียนรู้เท่านั้น) เพราะเป็นคนละเส้นทางกันครับ
หากไม่ต้องการให้ศิลปะการแสดงท้องถิ่นสูญหาย ต้องเก็บศิลปะการแสดงเอาไว้ในตัวคน ต้องมี คนต่อคน ตัวตายตัวแทน จึงจะคงอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องไปร้องเรียกหาให้เสียเวลา
โดย ชำเลือง มณีวงษ์
- รางวัลชนะเลิศ ประกวดเพลงอีแซวสุพรรณฯ ปี 2525
- รางวัลราชมงคลสรรเสริญ สาขาการแสดงเพลงพื้นบ้าน ปี 2547
- โล่รางวัล “ความดีคู่แผ่นดิน” รายการโทรทัศน์ ททบ. ช่อง 5 ปี 2549
ไม่มีความเห็น