บทที่ ๒
ความสำคัญของภาพกับการผลิตรายการ
ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่ในจอโทรทัศน์นั้น
เกิดจากเส้นสแกน(Scan) ที่ใช้เวลาสแกนเร็วมาก
จึงไม่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่เพื่อให้สามารถเรียกหน่วยนับของภาพได้อย่างถูกต้อง
จึงมีการกำหนด หน่วยนับที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าดังนี้
หนึ่งFrame
คือหน่วยการนับของ ภาพ ที่เกิดมาจาก ฟิลด์
(Field )สองฟิลด์รวมกัน จึงเป็นหนึ่ง
เฟรม
เฟรมจึงคือภาพนิ่งหนึ่งภาพนั่นเอง
ในประเทศไทยใช้ระบบ
PAL(Phase Alternate
Line)
คล้ายกับเยอรมันและในอีกหลายประเทศ
ทั่วโลก (มากกว่า50ประเทศ)
ในระบบ PAL
ระยะเวลาหนึ่งวินาที
มีภาพนิ่งต่อเนื่องกันจำนวน 25 Frame
(ส่วนในภาพยนตร์ มี 24
Frame) สำหรับในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา
และในอีกหลายๆประเทศใช้ระบบ NTSC
(National Television Standard Committee)
ในเวลาหนึ่งวินาทีมีภาพนิ่งจำนวน
30 ภาพ
ส่วนประเทศฝรั่งเศส รัสเซีย และในประเทศสังคมนิยม
ส่วนใหญ่จะใช้ระบบ SECAM
(Sequential Couleura
Mamoirs)
หน่วยที่แสดงผลเวลาของภาพเรียกว่า
Time Code (TC)
ตัวเลขคู่แรกจำนวนสองตัวคือหน่วย
แสดงจำนวนชั่วโมง
ตัวเลขคู่ต่อมาคือหน่วย
แสดงจำนวนของนาที ตัวเลขคู่ต่อมาคือหน่วย
แสดงจำนวนของวินาที
ตัวเลขคู่สุดท้ายคือหน่วยแสดงจำนวนของ
เฟรม
หนึ่ง
Shot
นับจากการกดปุ่ม
Start
เริ่มบันทึกภาพตามที่ต้องการไปจนถึงจุดสุดท้ายแล้วกดปุ่ม
Stop หยุดการบันทึก
จากจุดสตาร์ทจนกระทั่งถึงจุดสต๊อปเรียกว่าหนึ่ง ช็อต
ไม่จำกัดเวลาและความยาว เมื่อนำ
Frame หลายๆ
เฟรมมาต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหว แต่ละช่วง
ความยาวเรียกว่า
Shot ช็อตมา จาก
คำว่า
Shoot ชู้ต
ที่แปลว่ายิง ถ้าเปรียบกับหนังสือก็คือ
หนึ่งแถวหรือหนึ่งบรรทัด
Scene
ซีนหรือฉาก คือการนำ
Shot หลายๆ Shot
มาต่อเชื่อมกัน
ร้อยเรียงให้มีความต่อเนื่อ(Continue)
ไม่สะดุดและกระโดด(Jump)
ฉาก คือสถานที่ ที่ผู้แสดง
กำลังสนทนากันอยู่ในที่แห่งนั้น
ในสถานที่แต่ละแห่งเรียกว่าหนึ่งฉากในแต่ละตอนอาจมีหลายฉากต่างกันไป
ถ้าเปรียบกับหนังสือ หนึ่งฉากก็คือ หนึ่งหน้านั่นเอง
เมื่อนำหลายๆฉากมาต่อกันก็จะรวมเป็นหนึ่งตอน
(Sequence)
หรือเปรียบกับหนังสือหนึ่งบท ละครที่นำ
เสนอทางโทรทัศน์นั้น
แต่ละวันเรียกว่าหนึ่งตอน
ซึ่งในแต่ละเรื่องมีความยาวไม่เท่ากัน
บางเรื่องมีสิบตอนจบแต่บางเรื่องอาจมีร้อยตอนก็ได้
เปรียบกับหนังสือหลายๆบทรวมกันก็คือหนึ่งเล่มนั่นเอง
และผู้ที่จะผลิตรายการโทรทัศน์ทุกคน
ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือหน้าที่ใดก็ตาม
จำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐาน
เกี่ยว
กับเรื่องของภาพให้มีความเข้าใจ
เพื่อจะได้ใช้สื่อภาษาในความหมายที่ตรงกันต่อไป
ขนาดภาพ
(Picture size ,
Shot size)
ภาพและขนาดของภาพที่แตกต่างกันจะสื่อความหมายที่ต่างกัน
การใช้ภาพหลายขนาดในรายการ จะทำให้ไม่เกิด
ความซ้ำซากน่าเบื่อ
แต่จะต้องให้เกิดความต่อเนื่อง(Continuity)
ไม่กระโดด(Jump) การเปลี่ยนขนาดและมุมมอง
ของภาพในแต่ละครั้งจึงต้องมีความหมาย
มีเหตุผลและมีคำตอบเสมอ เพื่อให้มีความเข้า
ใจที่ตรงกันจึงต้องมีการกำหนดขนาดของภาพ
และมีคำศัพท์เรียกโดยเฉพาะ
๑.
Extreme Long Shot(ELS.)
คือภาพขนาดกว้างมาก
ใช้บอกเล่าเรื่องราวภาพรวมในฉากทั้งหมด
เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ
และเชื่อมโยงไปสู่รายละเอียดในส่วนอื่นๆต่อไปเรียกว่าภาพเปิดฉาก(OS.=Open
Scene)
๒. Long
Shot(LS.)
ภาพกว้าง
เป็นภาพขนาดกว้าง
แต่จะเจาะจงให้เห็นความสำคัญมากขึ้นว่าคืออะไร
อยู่ที่ไหน
ถ้าเป็นสถานที่ก็จะให้เห็นบริเวณโดย
รอบตัวอาคารกว้างๆทั้งหมด
หากเป็นบุคคล ก็จะให้มอง
เห็นเต็มตัวว่ากำลังทำอะไร
อยู่ที่ไหน
๓.
Medium Shot (MS.)
ภาพขนาดครึ่งตัว
เป็นภาพ
ขนาดครึ่งตัว
ให้เห็นรายละเอียดสร้างความคุ้น
เคยเพิ่มขึ้น
บางครั้งหากให้เห็นทั้งสองคน
เรียกว่า ภาพTwo
shot ก็ได้
๔.
Medium Close Up(MCU.)
เป็นภาพขนาดใหญ่กว่าภาพ
MS.
ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
สื่อให้เห็นราย ละเอียดมีความใกล้ชิดเป็นกันเองมากขึ้น
ใช้เป็นภาพในรายการสนทนา
แต่จะให้เห็นเฉพาะคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
๕. Close
Up(CU.)
ภาพขนาดใหญ่
ให้เห็นรายละเอียดเพิ่มขึ้น
ตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป
เน้นเฉพาะใบหน้าสื่อแสดงออกด้านอารมณ์
ความรู้สึก เช่น ดวงตา
ปาก
ใช้ในการแสดงมากกว่ารายการสนทนา
เพราะคล้ายเป็นการละลาบละล้วงคาดคั้นใกล้ชิดมากเกินไป
๖.
Big Close
up(BCU.)
เป็นภาพขนาดใหญ่มากกว่า
CU.
ตัดส่วนที่ไม่ได้แสดงอารมณ์
บริเวณเหนือคิ้ว
ขึ้นไปเน้นเฉพาะส่วนที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก เช่น
ยินดี
ดีใจ เสียใจ เหงา
เศร้า โกรธ ภาพลักษณะนี้ใช้กับรายการสาธิต
ที่แสดงให้ เห็นขั้นตอนก็ได้
๗. Extreme
Close
up
(ECU.) ภาพใหญ่พิเศษ
เน้นเฉพาะจุดที่สำคัญ ตัดส่วนอื่นทิ้งไป
เพื่อ
ให้เห็นรายละเอียดเฉพาะส่วนที่ต้องการ
การเคลื่อนกล้องและการปรับเลนส์
กล้องนั้นเปรียบเหมือนกับศีรษะ
ที่มีหน้าตาจมูกปาก
ซึ่งเลนส์นั้นเปรียบเหมือนดวงตา
การปรับเคลื่อนกล้อง
จึงคล้ายกับการก้ม หรือเงยหน้า
เหลียวซ้าย มองขวา
เดินเข้าไปหา ถอยออกมา ลุกขึ้นนั่งลง
จึงต้องมีศัพท์เฉพาะเพื่อ
สื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน
๑
Pan
คือการเคลื่อนกล้องที่มีลักษณะคล้ายกับการเหลียวใบหน้าไปทางซ้าย
และทางขวา
การ
Pan ใช้เพื่อ
สื่อให้เห็นว่าสถานที่แห่งนั้น
อยู่ในบริเวณเดียวกัน
หากถ่ายภาพตรงๆ
ก็จะไม่สามารถมองเห็นบริเวณทั้งหมดได้
จึงต้องกวาดหรือ
แพนไปทางซ้ายหรือทางขวาในแนวระนาบ
กล้องจะต้องวางอยู่กับที่บนขาตั้ง
(Tripod)
ที่มั่นคงไม่จำเป็นอย่าแบก
หรือหิ้วกล้องขณะที่กำลังถ่ายทำ
ข้อควรระวัง
อย่า แพน กล้อง ไปในทิศทางตรงกันข้าม ย้อนหรือสวนทางกับวัตถุ
ที่กำลังเคลื่อนที่ไปในอีกทิศทางหนึ่ง
ควรแพนตามวัตถุ หรือหยุดกล้องไว้
โดยให้วัตถุเคลื่อนผ่านไปเอง
๒. Tilt
ทิ้ลท์คล้ายกับการก้มและเงยหน้าก้มลง
เงยขึ้น
Tilt
นำมาใช้เพื่อการถ่ายภาพ
สื่อให้เห็นรายละเอียดของวัตถุที่มีความสูงเช่น
เจดีย์ อาคาร อนุสาวรีย์
ฯ หากจะถ่ายเป็นภาพกว้างๆ
ก็จะไม่สามารถเห็นลายละเอียด
จึงต้องถ่ายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แล้วจึงTilt
ขึ้นหรือลงอย่างช้าๆกล้องจะต้องวางอยู่กับที่บนขาตั้ง(Tripod)
ที่มั่นคง
อย่าแบกหรือหิ้วกล้องขณะที่กำลังถ่ายภาพโดยไม่จำเป็น
เว้นแต่มีความจำเป็นหรือ
มีวัตถุประสงค์อื่น
๓.
Dolly
ดอลลี่
คล้ายกับการเดินเข้าไปหา
หรือถอยออกมาจากวัตถุ
แทนสายตาของผู้แสดงที่กำลังเดินเข้าไปด้วยตัวเอง
กล้องจะต้อเคลื่อนไปทั้งตัว
ต้องวางกล้องไว้บนขาตั้งที่ มีล้อ
หรือรางเลื่อนรองรับ เพื่อให้สามารถ
ถ่ายภาพออกมาได้อย่างนุ่มนวล สวยงาม
๔.
Track แทร็ค
หรือ Crab
คือการเคลื่อนกล้องตามวัตถุ
ไปทางด้านข้าง
ใช้เป็นภาพแทนสายตาของผู้ที่กำลังเดินคุยกัน
กล้องต้องเคลื่อนที่ติดตามไปทั้งตัวต้องวางกล้องไว้บนขาตั้ง
ที่มีล้อหรือรางเลื่อนรองรับเพื่อให้สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างนุ่มนวล
สวยงาม
๕.
Elevate &
Depress
คือการเคลื่อนกล้องไปทั้งตัวในแนวดิ่ง(ยกขึ้น-ลดลง)ใช้เป็นภาพแทนสายตาของผู้ที่กำลังลุกขึ้นหรือนั่งลง
Elevate คือการยกกล้องขึ้น Depress
คือการลดกล้องลง
ต้องวางกล้องไว้บนขาตั้งที่เป็นระบบไฮโดรลิก
หรือเครน ยกระดับขึ้นลงได้
เพื่อให้สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างนุ่มนวลสวยงาม
ไม่สั่นไหว แต่ถ้าต้องการสื่อให้เห็นความไม่มั่นคง
ความตื่นเต้น ก็สามารถจะยกขึ้นด้วยมือได้
๖. Zoomซูม
คือการถ่ายขยายหรือย่อภาพ
ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง
โดยใช้เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสหลายขนาด
ประกอบอยู่ในเลนส์ตัวเดียวกัน กล้องจะต้องตั้งอยู่กับที่
ต่างจาก Dolly
ที่ต้องเคลื่อนไปทั้งตัวกล้อง การซูมนั้นมุมมองที่ฉากหลังจะแคบลง
แต่การดอลลี่นั้นมุมมองที่ฉากหลัง
จะไม่เปลี่ยนไปมากนัก
การซูมจะนำมาใช้แทนความรู้สึก
ความคิดคำนึง
ซึ่งเป็นนามธรรม
จึงไม่ควรนำมาใช้ สื่อแทนภาพสายตาของคน
เพราะตาคนเราซูมไม่ได้
จึงควรที่จะเลือกนำมาใช้สื่อความหมายให้ถูกต้อง
อย่าใช้พร่ำเพรื่อไร้ความหมาย
และก่อให้เกิดความรำคาญต่อผู้ชม
๗.
De
focus ดีโฟกัส
เป็นภาพที่เกิดจากการปรับเลนส์
โดยการปรับภาพที่คมชัดอยู่ให้เบลอ (Blur)
หรือพร่ามัวแล้วกลับมาคมชัดเหมือนเดิม
ใช้สื่อความหมายแทนความคิด
ความฝันของผู้แสดง
ที่กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เป็นการใช้เทคนิค
ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษ
ใช้การปรับเลนส์แทน แต่จะต้อง
เตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าเสียก่อนว่าจะ
นำมาใช้เมื่อไร ให้สอดคล้องกัน
หรือใช้เทคนิคย้อมสีน้ำตาล(sepia) เป็นภาพในอดีตที่ผ่านมาเรียกว่าภาพ
flashback ก็ได้
๘. Shift
focus
ชิฟท์โฟกัสเป็นภาพที่เกิดจากการปรับเลนส์อีกแบบหนึ่ง
โดยปรับให้คมชัดเฉพาะจุดที่ต้องการจะเน้น
และให้เบลอ ในจุดทีไม่ต้องการจะเน้นด้วยการปรับสลั
ไปมาภาพลักษณะนี้
ผู้แสดงจะต้องอยู่ในแนวเดียวกันกับกล้อง
แต่อยู่ในระยะที่ห่างกันพอประมาณ
และจะต้องใช้ เลนส์ยาว
(Tele) เพื่อให้เกิดความชัดและเบลอแตก
ต่างกัน
องค์ประกอบภาพ
(Composition)
กฎสามส่วน
แบ่งภาพภายในกรอบสี่เหลี่ยมนี้ออกเป็นสามส่วนทั้งแนวตั้งและ
แนวนอน
เน้นสัดส่วนของสิ่งที่ต้องการจะสื่อ
ให้มีมากกว่าส่วนอื่นเช่นท้องฟ้า
น้ำและภูเขา
หากต้องการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับท้องฟ้าก็ควรเน้น
ให้
มีท้องฟ้าสองส่วนเหลือภูเขาไว้เพียงส่วนเดียวก็พอ
เส้นนำสายตา
-
เส้นทแยงมุม
เช่นถ่ายภาพถนน
เริ่มจากมุมบนด้านซ้ายของจอภาพ
มายังมุมขวาด้านล่างของจอภาพเป็นภาพแม่น้ำลำคลอง
หรือภาพอย่างอื่น
เพื่อเชื่อมโยงไปสู่เนื้อ
หาเรื่องราวที่กำลังจะพาไป
ลักษณะภาพอาจให้มองดูเป็นรูปอักษรคล้ายตัว
S ตัว
L หรือแล้วแต่จะคิดจินตนาการ
-
รูปสามเหลี่ยม
จากสิ่งก่อสร้าง
เช่นหน้าจั่วบ้านทรงไทย
หน้าบรรณโบสถ์วิหาร
หรือภาพคนสองคนกำลังมองไปยังจุดเดียวกัน
เพื่อนำไปสู่ภาพแทนสายตาของทั้งสองคนไปยังจุดนั้น
-
เส้นรัศมี
เป็นภาพที่มีพลังเกิดมาจากจุดศูนย์กลาง
เช่นกอบัวที่ถ่ายจากมุมด้านบนมองเห็นการแผ่ขยายของใบบัวแต่ละใบในกอนั้น
หรือกลีบดอกไม้ที่ถ่ายจากมุมสูงลงมา
เห็นการแผ่ขยายของกลีบดอก
ความสมดุล
(Balance)
ควรจัดวางวัตถุภายในภาพให้เกิดความสมดุล
ไม่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง
เช่นคนกับวัตถุ
ฉากการสนทนาต้องให้น้ำหนักระหว่างคู่สนทนาทั้งสองคนเท่ากัน
ไม่เอียงหรือหนักไปด้านเดียว
ส่วนเกิน
ก่อนถ่ายภาพต้องสังเกตให้ดีทั้งด้านหน้า(Foreground)
และด้านหลัง (Background)
อย่าให้มีสิ่งที่ไม่ต้อง
การปรากฏขึ้นในภาพเช่น
คนสองคนยืนสนทนากัน
แต่มีฉากหลังเป็นต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า
คั่นอยู่ระหว่างกลาง
แต่ถ้าจะสื่อถึงความขัดแย้งของคนทั้งสองก็ใช้ได้
หรือบางครั้งก็อาจจะมีเขางอกออกมาบนศีรษะเพราะกิ่งไม้ด้านหลัง
บางภาพอาจมีโคมไฟฟ้าโผล่ขึ้นมาบนศีรษะ