ตำนานเพลง
พื้นบ้านยุคใหม่
ที่มีมายาวนานกว่า 16 ปี
เพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ
(ตอนที่ 1) ความเป็นมา
เมื่อประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2550 มีสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง เดินทางมาจากไหนผมไม่ทราบรายละเอียด สิ่งที่ผมได้เห็นและเฝ้าสังเกตในระหว่างที่ผมมีแขกจากจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 4 ท่านกำลังสนทนากันอยู่นั้น มีท่านผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตูด้านนอกห้องโดยที่เขาไม่ได้ทักทายผม เขายืนดูภาพและเรื่องราวที่ผมและเด็ก ๆ จัดแสดงผลงานเพลงพื้นบ้านเอาไว้ที่ด้านนอกห้อง จนเมื่อแขกของผมชุดที่มาหาผมคุยธุระกันลาจากผมไปแล้ว ท่านผู้นั้นก็เดินเข้ามาในห้อง 512 อาคาร 5 ที่ผมนั่งทำงานอยู่
คำแรกที่ผมได้รับฟังคือ “เพลงวงนี้ใช่วงที่ดีที่สุดของสุพรรณฯ หรือไม่” คำถามที่ผมได้รับฟัง ทำให้ผมต้องหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบไปว่า “เพลงวงนี้จะดีเด่นแค่ไหน เพียงใด ผมคงตัดสินใจเองไม่ได้ นอกจากที่ท่านจะหาข้อมูลเอาเอง หรือไปพิสูจน์การแสดงที่หน้าเวที จะดีหรือไม่ แค่ไหนเพียงใด อยู่ที่ท่านผู้ชมตัดสินใจครับ” ผมเชิญให้แขกผู้แปลกหน้านั่งลงที่เก้าอี้รองรับซึ่งลูกศิษย์ที่กำลังเรียนอยู่กับผมจัดมาวางให้ ท่านสนทนากับผมต่อไปอีก โดยกล่าวว่า “ผมต้องการมาติดต่อเพลงพื้นบ้าน ระดับเยาวชนไปแสดงในงานสำคัญของชุมชนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ คิดราคาเท่าไร” ผมตอบคำถามนี้โดยแสดงความจำเป็นในการที่จะต้องมีค่าใช้จ่าย ประกอบด้วยเบี้ยเลี้ยงนักแสดง ค่าอาหารระหว่างเดินทาง ค่ารถรับ-ส่งนักเรียนถึงบ้านตอนกลับ และค่ารถเดินทางไปแสดง ก็เป็นเงินมากพอสมควร (ไม่รวมค่าเครื่องเสียงและเวทีการแสดง) นอกจากนั้นยังมีถ้อยคำ ในการสนทนาที่ผมยังจำได้อีกหลายอย่าง ได้แก่
- เคยไปแสดงตามต่างจังหวัดมาบ้างไหม ผมตอบว่า “เคยไปมาหลายสิบจังหวัดแล้ว”
- เด็ก ๆ สามารถแสดงได้นานเท่าไรต่อหนึ่งงาน ผมตอบว่า “แสดงครั้งละ 1-3 ชั่วโมง”
- แล้วถ้าเล่นน้อยหรือมากกว่านั้นละคิดอย่างไร ผมตอบไปว่า “คิดลดและเพิ่มเล็กน้อย”
- ในคณะมีผู้แสดงกี่คน ชาย-หญิงกี่คน “ผมตอบว่า มีทั้งชาย-หญิงจำนวน 15 คนขึ้นไป”
- ตั้งวงเล่นเพลงรับงานแสดงมานานหรือยัง ผมตอบว่า “รับงานแสดงมากว่า 16 ปีแล้ว”
- ใครเป็นผู้ฝึกหัดเพลงวงนี้ครับ ผมตอบว่า “ผมเป็นผู้ถ่ายทอดทุกอย่างเพียงคนเดียว”
- วงเพลงของอาจารย์มีจุดเด่นอะไร ผมตอบว่า “เด็กมีความสามารถด้นกลอนสดได้หลายคน”
- อาจารย์มีวิธีการฝึกหัดอย่างไรจึงมาถึงจุดนี้ ผมตอบว่า “ผมเป็นนักแสดงอาชีพมาก่อน ครับ”
ยังมีข้อสงสัยที่ผมถูกถามอีกหลายข้อ เอาไว้ค่อย ๆ นำมาเล่าต่อไป แต่ที่ผมต้องนำกลับมาคิด ทั้งที่เวลาผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็ตาม ยังมีท่านที่ให้ความสนใจในศิลปะ การแสดงเพลงพื้นบ้านที่อยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่มีข้อมูลในรายละเอียดที่จะให้ท่านที่มีความสนใจได้ศึกษาหาความรู้ เพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อการติดต่อขอความอนุเคราะห์ในการติดต่อไปแสดง และเพื่อความเข้าใจในข้อสงสัยอื่น ๆ อีกมาก เพราะดูทุกท่านที่มาหาผม ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่มีความเข้าใจในศิลปะพื้นบ้าน บางท่านไม่มีเลย บางท่านยังเรียกเพลงที่เด็ก ๆ ของผมไปแสดงว่า เพลงลำตัด (เด็ก ๆ เขาแสดงเพลงอีแซว)
บางท่านถามผมว่า “เด็กของอาจารย์เล่นได้แต่เพลงอีแซวหรือ” ผมให้ข้อมูลไปว่า “เล่นเพลงพื้นบ้านได้มากว่า 10 ประเภท ครับ” และมีคำถามที่ถามกันมากว่า “เพลงประเภทไหนที่ดูสนุกที่สุด” ผมตอบว่า เพลงที่ผมได้รับการติดต่อไปแสดงมากที่สุดคือ เพลงอีแซว เพลงแหล่ ลำตัด เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัย ครับ” อีกคำถามหนึ่งคือ ใน 1 งาน สามารถนำเอาเพลงพื้นบ้านหลาย ๆ อย่างมาเล่นต่อเนื่องกันไปได้ไหม” ผมตอบว่า “ได้ครับ เพราะว่ามีหลายงานที่ท่านเจ้าภาพต้องการให้แสดงเพลง 3 อย่าง ต่อเนื่องกัน แสดงอย่างละ 1 ชั่วโมงก็มี”
เรื่องของการให้ข้อมูล น่าที่จะมีความสำคัญ เพราะอย่างน้อย ข้อมูลก็สามารถทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ติดตัวไป แต่อาจจะมีท่านผู้อ่านที่มีความเห็นไปคนละทางกับผู้ให้ข้อมูลก็เป็นได้ ผมจึงต้องออกตัวตรงนี้ก่อนว่า “ผมเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก ๆ การแสดงเป็นอาชีพติดตัวผมมาตั้งแต่เริ่มต้นจนมาถึงวันนี้ ผมเล่นเพลงบนเวทีมาเป็นจำนวนมากทั้งการแสดง ประกวด และแข่งขัน” เมื่อผมนำเอาความรู้มาถ่ายทดให้กับนักเรียน ผมจึงถอดเอาประสบการณ์ตรงของผมมาสวมให้เด็ก ๆ ได้รับการถ่ายทอดไปโดยตรงจากต้นตอ คือตัวของครูเอง ครับ
บทความในตอนที่ 1 ของตำนานเพลงพื้นบ้านยุคใหม่ ที่มีมายาวนานกว่า 16 ปี ในนามของเพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ ผมขอนำเอาเรื่องราวในรายละเอียด ความเป็นมาโดยย่อตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนเดินทางมายาวนานมาถึงวันนี้ ดัวยเอกสาร (แผ่นพับ) แนะนำวงเพลงอีแซว ครับ
ชำเลือง มณีวงษ์ โล่รางวัลความดีคู่แผ่นดิน จากรายการโทรทัศน์ ช่อง 5 ปี พ.ศ. 2549.
ไม่มีความเห็น