ความน่ารักของคนอยู่ตรงรับฟัง


บทบันทึก ถึงภาพน่ารักของเพียงการรับฟัง และเรื่องราวปฏิบัติอันเรียบง่ายของผู้คน กระทำความเรียบง่ายของชีวิตระหว่างกัน ดัวยการนั่งฟัง ปรับใจ ใช้ความรู้สึก รับรู้ เข้าใจ และรับฟัง หลายสิ่งของชีวิตจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แค่เพียงเรารับฟังกันและกัน

ความน่ารักของคนอยู่ตรงรับฟัง

อ้างอิง - ภาพ http://www.lomography.com/folkways

ในท่ามกลางวังวนของนักการเมือง

แลการก่นด่าประณาม

กระทั่งคาดหวังนำเสนอ

เพื่อปรารถนาให้นักการเมืองไทย ก้าวย่างไปสู่หนทางในดวงใจ เฉกเช่นที่ประชาชนไทยใฝ่หาใฝ่ปอง หรือพยายามจะบอกกล่าวให้นักการเมืองเป็นไปดั่งดวงใจเหล่านั้น แต่ก็สุดวิสัยหากเรายังไม่มีเครื่องมือทางวัฒนธรรม ในวัฒนธรรมการเมืองอันแข็งแกร่งมากพอ

ที่จะกดดันตรวจสอบให้นักการเมืองเป็นไป

เราจึงทำได้เพียงก่นด่าแลประณามอยู่ห่างห่าง

ยามนักการเมืองกระทำเรื่องเกินรับได้

ยังไม่จำเป็นต้องคาดหวังถึงการประพฤติปฏิบัติ พฤติกรรมหนึ่งซึ่งคนไทยคาดหวัง แต่นักการเมืองไทยยังทำไม่ได้ นั่นคือ การรับฟัง ซึ่งยังคงไม่ปรากฎความหวังให้คนไทยได้เชื่อมั่น เอาลำบากเพียงแค่เบื้องต้นนี้ เราก็แทบจะถอดใจ

วิสัยการรับฟัง

เงื่ยหูฟังหรือสดับตรับฟัง

จะด้วยปัญญาหรือดวงตาเห็นธรรมก็ตามแต่

แทบจะไม่มีในตัวตนของนักการเมือง ขณะที่เรื่องราวเหล่านี้ คือพื้นฐานสำคัญซึ่งนำพาคนธรรมดาให้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจ ผู้ใฝ่เรียนรู้ และผู้ตื่นรู้ แต่สำหรับนักการเมืองทักษะเหล่านี้ ล้วนถูกเลือกใช้สอยหยิบจับ

ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง

บางครั้งก็ใช้บ่อยเพื่อแสดงภูมิ

บางคราวก็แอบซ่อนเก็บงำ เพียงเพราะไม่อยากรับรู้

วิสัยนักการเมืองไทยจึงเสมือนนกรู้ รู้ช่องรู้ทางหนีทีไล่ รู้ว่าทำเช่นไรไม่ต้องแบกรับผิดชอบต่อทุกข์ยากประชาชน หรือว่าเรื่องราวใดกระทำแล้ว ได้รับความนิยมเพียงข้ามคืน รู้ว่าจะไปยืนข้างเจ้าทุกข์อย่างไร ให้กล้องโทรทัศน์ได้บันทึกภาพ หากเป็นกล้องนักข่าวหนังสือพิมพ์ ก็ขอเป็นหัวสี หัวอื่นนักการเมืองไทยไม่ค่อยมักไม่ค่อยชอบ

อารมณ์วิสัยนักการเมือง

จะว่าไป ก็อาจเป็นเหมือนกันทั้งโลก

เมื่อนับหน้าตามาก่อน ยิ่งตีเกราะเคาะข่าวยิ่งชอบ

วิสัยเอาหน้าตาเข้าสู้ แต่ไม่ใช้ปัญญาเข้าชนของนักการเมือง จะว่าไปก็เหมือนเราฝืนธรรมชาติ ยิ่งเมื่อคนซึ่งไม่มีวิสัยเช่นนี้เป็นนักการเมือง เราจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน ถึงการเปรียบเทียบประกบคู่ ยามอยู่หน้าเวที ยามต้องเถียงต่อปากต่อคำกัน

ไม่นับเสียงสนับสนุนของมวลชน

ยามเห็นนักการเมืองขึ้นป่าวประกาศบนเวทีปราศรัย

ยิ่งยุยงส่งเสริม ยิ่งโห่ร้องให้พูดคำแรง

ตีฝีปากและด่าประณาม เสมือนหนึ่งนั่งชมมหรสพครั้งสำคัญ นักการเมืองจึงเรียนรู้ไปเองว่า สิ่งเหล่านี้คือความเหมาะสม ถูกต้องชอบธรรม ที่จะกล่าวคำเท็จ พูดหยาบคาย ด่าว่ากล่าวประณามแบบไร้เหตุผล เหมือนสวมบทตัวละครในนิทานจักรๆวงศ์ๆ ให้ประชาชนหน้าเวทีได้ชมเรื่องมายา เหมือนลิเกออกโรงออกแขก

 

วิสัยมวลชนยิ่งยุยง

ยิ่งน่ากลัวและน่าหวาดหวั่น

เหมือนดั่งกระแสคลื่น หากลมโหมตีให้คลื่นก่อตัว

ปากคำแลลมปากนักการเมือง ที่เฝ้าโป้ปดจึงไม่ต่างจากลมโหมตี ให้คลื่นมวลชนก่อตัว โกรธแค้นเกรี้ยวกราด พอถึงวันหนึ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ คลื่นก็พาลจะพากันถาโถมเข้ากระหน่ำฝั่ง ลมปากนักการเมืองที่เราเห็น ล้วนนำพาวิบัติภัยมานักต่อนัก

แค่เพียงเปิดใจรับฟัง

และพูดจาเลื่อนลอยน้อยลง

นักการเมืองก็อาจสร้างความดีให้ปรากฎได้

ผลในสังคมของผู้คน ที่ต่างรับฟังกันด้วยความรู้สึก อารมณ์อันสงบนิ่ง สมาธิในการฟัง และตระหนักถึงเหตุผลเป็นเรื่องจำเป็น มากกว่าการโกหกพกลมไปวันวัน ยิ่งจะกล่าวถึงความน่ารักอันเล็กน้อยของผู้คน ผมยิ่งตระหนักว่า เพียงการรับฟังและตั้งใจฟัง ก็อาจทำให้โลกนี้สดใสน่าอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเรื่องง่ายง่ายแค่เรารับฟัง

แค่เพียงเราตั้งใจรับฟังเสียงนกเสียงกา

เพียงเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบจากใจ

เราอาจเข้าถึง ตัวตนของผู้คน

ได้มากกว่าการค้นหาสูตรแห่งการกำกับ และบริหารชีวิตผู้อื่น ยิ่งเรารับฟังด้วยความละเอียดอ่อน เข้าใจและตั้งหลักในใจว่า เราเขาต่างก็เป็นมนุษย์ มีปรารถนามีต้องการ มีความดีความเลว หลงผิดและยึดติดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเรากับเขาต่างคล้ายคลึงกัน เราก็พึงจะสื่อสารกันได้

ด้วยหัวใจละเอียด

ด้วยความพยายามจะเข้าใจคนอื่น

เรื่องเล็กน้อยอันยากลำบากบางประการ

ก็อาจนำพาเราไปสู่ทางออกอันง่ายดาย ทางออกซึ่งไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือจำต้องยอกย้อนต่อชีวิตมากนัก เหมือนครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีโอกาสไปนั่งทำเอกสารที่สำนักเขตของกรุงเทพมหานครแห่งหนึ่ง ขณะนั่งไปนั่งมา ก็เห็นอาการของลุงคนหนึ่ง

คาดว่าไม่ได้รับความสะดวก

หรือไม่เข้าใจระบบ ที่เจ้าหน้าที่อธิบายไม่ได้

จนต้องบ่น กระทั่งเจ้าหน้าคนหนึ่งวัยไล่เลี่ยกัน เดินเข้าไปพูดคุย

น้ำเสียงและคำอธิบาย จากความหงุดหงิดของลุง ก็กลายเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ ค่อยๆไล่เรียงว่าทำไมจึงไม่พอใจ เจ้าหน้าที่เขตชายกลางคนวัยไล่เลี่ยกัน นั่งรับฟังพยักหน้าเป็นระยะ รอจนลุงต้นเรื่องสบายใจมากขึ้น ค่อยอธิบายถึงขั้นตอนอันยุ่งยาก และแนะนำวิธีแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก่อนขอตัวกลับไปทำงานต่อ

ผมเห็นภาพน่ารัก

และบรรยากาศงดงามในการแก้ปัญหา

ด้วยเรื่องราวง่ายง่าย แค่เพียงนั่งฟัง และลำดับความ

หลังจากพอใจในการรับฟัง ลุงต้นเรื่องก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่คนอื่น ว่าเจ้าหน้าที่มีอายุคนดังกล่าว ทำงานฝ่ายไหน เขาอยากขอบคุณ เพราะเมื่อสักครู่ไม่ได้ถามว่าทำอะไร เจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขตยิ้มละไม และเขินอายแบบเล็กน้อย ก่อนตอบว่า

ผู้อำนวยการสำนักงานเขต ค่ะ ลุง

หมายเลขบันทึก: 149771เขียนเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2007 08:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ความโกลาหล
  • และสับสนของทุกวงการ
  • ล้วนเกิดจาก
  • ปากใหญ่กว่าหู
  • แถมใช้ปากเป็นประตู
  • เปิดตรงมาจากระดูกสันหลัง ไม่ใช่สมอง 
  • เห็นพ้อง กับความบทความสะกิดใจค่ะ

Bg2

  • สวัสดีครับ คุณผู้หลงรักกาแฟ P
  • ขออภัยด้วยครับ ที่ตอบล่าช้าอย่างยิ่ง
  • ในแต่ละจังหวะก้าวของชีวิต
  • การรับฟัง ล้วนเป็นเสน่ห์อันงดงาม
  • ใช้เป็นช่องทาง เพื่อเข้าใจผู้คนรอบข้างได้มาก
  • ทำให้เข้ารับรู้ และตระหนักร่วมกัน
  • เป็นหนึ่งในความรู้สึก
  • ที่อยากแบ่งปัน
  • และแลกเปลี่ยนร่วมกันครับ
  • ขอบคุณมากครับ สำหรับความคิดเห็น
  • ขอบคุณสำหรับการเยี่ยมเยือน
  • ขอบคุณมากครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท