24-11-50
ในเสาร์ที่17-11-50 ดิฉันได้รับเชิญจากอาจารย์อ้อที่ สคส.ให้ไปเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยรังสิตหลักสูตรปรัชญาดุษฏีบัณฑิต สาขาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง
1. วิชา SBP 716 : การจัดการภูมิปัญญาสำหรับผู้นำและองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ (3 หน่วยกิต)2. ระยะเวลา (ทั้งสิ้น 45 ชั่วโมง ทุกวันเสาร์ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 2550 – ม.ค. 2551 รวม 8 สัปดาห์)3. การประเมินผล เป้าหมายของหลักสูตร1. เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจหลักการ หัวใจ ของการจัดการความรู้ และสามารถนำไปต่อยอด ปรับใช้ได้กับตนเอง ในการทำงาน และองค์กร2. นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิควิธีการใช้การจัดการความรู้ ในการทำงาน การบริหารและการเป็นผู้นำพัฒนาการเปลี่ยนแปลง จากผู้มีประสบการณ์จริง จากนักศึกษาด้วยกันเอง และจากเครือข่ายการเรียนรู้ภายนอกในเวทีเสมือน (Gotoknow.org)ดิฉันดีใจมากค่ะและรีบตอบรับทันที
ดิฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเขียนเก่งนะคะเพราะป่านนี้ดิฉันยังใส่รูปไม่เป็นค่ะ
ดิฉันภาคภูมิใจเพราะอ.อ้อ อยากให้ผู้บริหารใช้KMและใช้บล็อกให้เป็นประโยชน์ค่ะ
ดิฉันอ่านและเรียนKMส่วนใหญ่จากการอ่านบล็อก อาจารย์วิจารณ์และอาจารย์ประพนธ์ จาก สคส.สอนเป็นส่วนใหญ่ทำให้รู้สึกว่ามีประโยชน์มากๆถ้าในองค์กรมีการใช้อย่างจริงจังค่ะ อาจารย์อ้อสอนทฤษฎีช่วงเช้า ดิฉันเล่าเรื่องช่วงบ่าย เป็นเรื่องของตัวดิฉันเองว่าทำไมจึงชอบเขียน ของหนูเล็กซึ่งเขียนจนได้รางวัลแต่ก็หยุดเขียน บล็อกของปิ่ง ขวัญ จันทร์เมามายทำไมยังเขียนต่อทำไมไม่เขียนต่อ
หัวข้อที่ให้พูดทีต้องการนำเสนอจริงๆคือคือแรงบันดาลใจที่เริ่มทำบล็อก ค่ะ
อ.อ้อบอกว่ามันยากตรงการเริ่มต้นค่ะ
หลังจากสอนแล้วนักเรียนสนใจดีค่ะ มีคำถามมากจนเกินเวลาเรียน
ขอยกตัวอย่างคำถามที่จำได้ค่ะ
1บล็อกมีความสำคัญในKM ในต่างจังหวัดที่ไม่มีไอทีสามารถทำKMได้ไหม ( ขอไม่ตอบเพราะผู้อ่านคงตอบได้ทุกคน )
2 การประเมินประโยชน์ของการใช้บล็อก ( ดิฉันตอบว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรและinnovationค่ะ )
3อยากทราบประโยชน์จริงๆของการใช้บล็อก( ?? )
4ทำไมต้องไปสนใจเครื่องมือKMที่ฝรั่งคิด สิ่งดีๆในสังคมไทยเช่น สุ จิ ปุ ลิที่ทำให้เราทำงานมีประสิทธิภาพ คนไทยลืมไปแล้วหรือจ๊ะ
มีนักศึกษาบางคนก็มีความเห็นไม่ตรงกันให้ดิฉันเห็นกันในระหว่างที่สอนและหยุดพัก
เป็นเรื่องการสวดมนต์บทต่างๆซึ่งดิฉันก็เคยเห็นด้วยในใจว่าบทสวดมาตรฐานไม่ค่อยมีคนสนใจ
แต่ดิฉันพยายามมองให้เป็นเครื่องมือให้ใจสงบ สวดบทใหนคงเหมือนกันถ้าสวดแล้วฟุ้งซ่านไม่ฟังคนอื่นที่คิดต่างจากเรา
KMน่าจะเป็นเรื่องที่ดิฉันว่าเราจะรู้จักการฟังมากที่สุด
ฟังนักศึกษาคุยกันแล้ว ศาสนายังคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมาเสวนากันเพราะขัดแย้งง่ายมาก
ดิฉันเคยทะเลาะกับสามีว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดจนตีหนึ่งตีสองและเพลียจากการเถียงกันจนหลับไปทั้งคู่ (ยังดีนะคะ เราไม่ได้บอกว่าอยากรู้ก็ลองตายดูซิเธอ )
หลังจากนั้นดิฉันอ่านหนังสือธรรมมะแล้วเริ่มฝึกดูจิต
ขณะนี้เราคิดเหมือนกันแล้วค่ะ แต่ไม่บอกว่าเราเชื่ออย่างไรค่ะ (เกรงว่าจะเชื่อไม่เหมือนกันค่ะ )
ขอบคุณม.รังสิตที่ให้โอกาสดิฉันไปเล่าเรื่องในสถาบันค่ะ
ขอบคุณหมอประยงค์เพื่อนหมอชัยพรเจ้าของหลักสูตรที่ให้โอกาส
ดิฉันบริจาคค่าวิทยากรบางส่วนให้น้องๆที่ไปเด่นชัยด้วยกันในวันอาทิตย์เพราะเอาเรื่องของเจ้าหน้าที่เราไปเล่าให้นักศึกษาฟังค่ะ
ข้อมูลที่ได้จากอาจารย์อ้อ สรุป จำนวนนักศึกษาปริญญาเอก (จำแนกตามอาชีพ)
1) ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรในกำกับ 7 คน
2) อาจารย์มหาวิทยาลัย 5 คน
3) ธุรกิจภาคเอกชน 24 คน
4) อาชีพอิสระและอื่น ๆ 3 คน
ข้อมูลที่นำเสนอในส่วนของแรงบันดาลใจในการเขียนบล็อกค่ะ
ขอบคุณค่ะ รู้สึกเป็นปลื้มจริงๆ
ยังยืนยันว่าเขียนบล๊อคด้วยใจค่ะ ช่วงแรกๆไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เป็นการทบทวน/จัดการความรู้ความประทับใจในงานรวมทั้งการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยค่ะ แต่พอเขียนไปเรื่อยๆยิ่งเห็นประโยชน์ รู้สึกว่าตัวเองมีพัฒนาการในการเขียนมากขึ้นค่ะ นึกถึงประโยชน์ต่อตนเองและคนอ่านมากขึ้น
ขอบคุณปิ่งค่ะ อจ. อ้อชมสถาบันเราว่าถึงแม้ผอ.ไม่ได้แจกรางวัลให้ แต่พวกเรายังมีการใช้เรื่อยๆซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ
อ่านแล้วอดยิ้มนึกถึงความหลังไม่ได้ขอรับ
เห็นคำถามห้าข้อแล้วอยากตอบมาก ถือโอกาสตอบเลยนะขอรับ
เรื่องศาสนาผมเองก็เถียงกับเพื่อนบ่อยเหมือนกันแต่ สนุกดีครับเพราะผมกับเพื่อนเองไม่ได้เคร่งมาก ตอนนั้นก็เถียงกันแบบงูๆ ปลาๆ ครับ เรื่องตายแล้วไปไหนเองก็จบโดยที่ไร้ข้อพิสูจน์เพราะเรื่องนี้จะให้พิสูจน์ด้วยตัวเองก็ยังไม่กล้า อิอิ
แต่เรื่องนี้สำคัญมากเหมือนกันนะครับ เพราะคิดดูว่า ถ้าบอกว่าตายแล้วจบกัน ผม(ในตอนนั้น)ก็จะคิดว่าต้องแสวงหาความสุขเข้าตัวให้มากที่สุด จะทำชั่วมั่งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเชื่อเรื่องเกิดใหม่ก็จะมองอีกเป้าว่าเราต้องหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดมารับผลกรรมจากบาปที่เราทำในชาตินี้และชาติก่อนๆ
ความคิดเปลี่ยน เป้าหมายเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน
ทุกอย่างมันไปด้วยกันเลยครับ
ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมากแต่ก็ไม่เถียงครับเพราะเรื่องนี้พิสูจน์กันยาก
เป้าหมายเลยยังอยู่ที่ความสุขชาตินี้และความสุขของลูกหลานเราต่อไป...ดังที่ในหลวงทำครับ
ลืมตอบเรื่องเขียนต่อ ไม่เขียนต่อ
เป็นไปตามที่พี่ปิ่งพูดเลยครับ คือ เห็นประโยชน์ของตนเองและคนอื่น
โดยมากผมจะอ่านกอบโกยความรู้มากกว่าจะมาถ่ายทอดเองเพราะคิดว่าตัวเองรู้น้อยต้องหมั่นอ่านเข้าไว้และปัจจัยอีกอย่าง คือ ใช้เวลาเขียนนานครับ กว่าจะสร้างแรงบันดาลใจได้ต้องปลุกอารมณ์อยู่พอควร บันทึกหนึ่งๆ ผมต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงในการพิมพ์ จากนั้นมาลบบ้างแต่งบ้างอีกครึ่งชั่วโมง สรุปเงื่อนไขคือ
หลังๆ ขนาดจะทิ้งร่องรอยการมาอ่านยังขี้เกียจเลยครับเพราะแค่อ่านก็แทบอ่านไม่ไหวแล้ว แหะๆ