ถ้าจัดการฟางโดยการเผา นอกจากความร้อน 4,300 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม แล้ว จะได้เพียง ขี้เถ้า ถ่าน และสารระเหย 73.0,18.3 และ 74.4 % ตามลำดับ และอาจก่อให้เกิดปัญหาอัคคีภัย มลพิษทางอากาศ หรือเกิดปัญหาจราจรได้
การเผาฟาง 50 ตัน (ที่นาประมาณ 50 ไร่) จะสูญเสียไนโตรเจน 45 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 10 กิโลกรัม โปรแตสเซียม 125 กิโลกรัม กำมะถัน 10 กิโลกรัม และจะสูญเสียอินทรีย์วัตถุที่เป็นตัวปรับสภาพดินให้เหมาะสมต่อการทำนา ซึ่งดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง จะต้องมีอินทรีย์วัตถุสูงกว่า 3.5 % แต่ในดินนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นดินทราย มีอินทรีย์วัตถุเพียง 0.72 % ดินนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงต้องการฟางข้าวเป็นอย่างมากเปลี่ยนวิกฤต…เป็นโอกาส…เปลี่ยนภาระที่ต้องจัดการฟางข้าว เป็นโอกาสที่จะเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ให้แก่ดินโดยการใช้ฟางข้าว ตัวอย่างเช่น ที่สถานีทดลองข้าวจังหวัดสุรินทร์ มีอินทรีย์วัตถุในดินต่ำมาก เนื้อดินเป็นดินทราย การเจริญเติบโตข้าวไม่ดี ปักดำลำบาก ต้องรีบปักดำหลังการทำเทือกภายใน 6 ชั่วโมง เพราะดินจะยุบตัว แน่น แข็ง ปักดำไม่ได้ จึงใช้วิธีไถกลบตอซังทุกปี และนำฟางข้าวมาทำปุ๋ยหมักใส่กลับลงไปในนา รวม 18 ปี ปรากฏว่า ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจากเดิม 200 กิโลกรัม/ไร่ เป็น 550 กิโลกรัม/ไร่ อินทรีย์วัตถุเพิ่มจาก 0.2 % เป็น 0.8 % ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองใช้ฟางข้าวคลุมดินโดยไม่ไถพรวนในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ติดต่อกัน 4 ปี ทำให้อินทรีย์วัตถุเพิ่มขึ้น 25 % และยังช่วยลดความเป็นพิษของดินเค็มลง ส่งผลให้ได้ผลผลิตข้าวมากกว่าแปลงที่ใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว โดยได้ข้าวประมาณ 500 กิโลกรัม/ไร่
…ฟางข้าว…เผาเองหรือปล่อยให้ไฟลามทุ่ง…เสียโอกาสเท่ากัน……ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะถูกเผา…ก่อนปุ๋ยอินทรีย์จะกลายเป็นเถ้า…ไถกลบฟางเข้า…แล้วข้าวจะงาม…*******************************************************************ไม่มีความเห็น