สิ่งที่ได้จากการไปวิ่งควอเตอร์มาราธอน


วิ่ง ไป... เรียนรู้ ไป

วันที่ 18 พ.ย. 50 ที่ผ่านมา  ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ อาบน้ำ แต่งตัว แล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่ ถนนสนามไชย  จุดนัดพบของนักวิ่งนับหมื่นคน

วันนี้ กทมฯ จัดงาน แข่งขันวิ่ง สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กรุงเทพมาราธอน เป็นครั้งที่ 20 แล้ว

ฉันไปถึงบริเวณ ถนนสนามไชยเวลา 5:45 น. เพื่อไปร่วมวิ่งกับเขาด้วย ... แต่ไม่ใช่วิ่งมาราธอนหรอกค่ะ ขอเลือกทางสายกลางที่ไม่ทรมานใจตัวเองก่อน โดยการวิ่งแข่งขัน ควอเตอร์มาราธอน ระยะทางประมาณ 10.5 kms.   ผู้คนมารวมตัวกันมากแล้ว แต่บรรยากาศยังไม่คึกคักมาก ส่วนใหญ่กำลังรอนักวิ่งมาราธอนเข้าสู่เส้นชัย

เวลาไม่นานนัก... นักวิ่งคนแรก กับคนที่สอง ก็วิ่งเข้าสู่เส้นชัยห่างกันไม่ถึงนาที ซึ่งก็ไม่ผิดคาดมากนักที่ผู้ประกาศบนเวทีบอกว่าเป็นชาวเคนยาทั้งคู่   ประเทศนี้คว้าชัยชนะในการวิ่งมาราธอนบ่อยเหลือเกิน ปีที่แล้วผู้ชนะ ก็เป็นชาวเคนยา

แต่พอฟังเวลา ... โอ้โฮ ทำได้อย่างไร ระยะทาง  42 kms ใช้เวลาไปแค่ 2 ชั่วโมง 18 นาที เฉลี่ยแล้วใช้ความเร็ว 20 kms ต่อชั่วโมง

ทำให้เราสงสัยว่า ชาวแอฟริกา  ได้เปรียบชาวยุโรป กับ ชาวเอเชียตรงไหนนะ โครงสร้างร่างกาย ภูมิประเทศ หรือพฤติกรรมส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ แต่ที่เห็นชัดเจน รูปร่างที่ได้เปรียบคือ เพรียว ขายาว และอึด...

พอได้เวลา 6:45 น. เริ่มปล่อยตัวนักวิ่งควอเตอร์มาราธอน ปีนี้รู้สึกได้ชัดเจนว่าคนเยอะมากกว่าปีที่แล้ว มองเห็นผู้ว่า กทมฯ และทีมงานยืนโบกมือให้กำลังใจนักวิ่งอยู่บนเวที มองเห็นกล้องถ่ายรูป กล้องทีวี เยอะมากๆ กำลังเก็บภาพประทับใจนี้ไว้  ตากล้องแต่ละคนต้องทุ่มเทขึ้นไปอยู่ตามเสา ต้องปีนไปอยู่ตามที่สูงๆ นี่แหละเบื้องหลังภาพสวยๆ ต้องมีตากล้องผู้เสียสละเสมอๆ

 

สิ่งที่ทำให้ฉันตั้งใจ และมุ่งมั่น เสียค่าสมัคร 300 บาท มาวิ่งแข่งในครั้งนี้ ไม่ได้หวังเงินรางวัลจากการแข่งขัน แต่ต้องการมีประสบการณ์ที่น่าประทับใจ 2 อย่าง คือ

1) ได้วิ่งขึ้นไปบนสะพานพระปิ่นเกล้า และสะพานพระราม8 ด้วยสองขาของตัวเอง ... คิดดูซิ จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตเราที่จะได้มีโอกาสไปวิ่งเล่น เดินเล่นบนสะพานที่เขาสร้างมาให้รถยนต์วิ่ง โดยไม่มีรถซักคันมาเป็นอุปสรรค ... แค่คิดก็เจ๋งแล้ว และยิ่งได้มองทิวทัศน์บนสะพาน ยามเช้าด้วยแล้ว ในน่าประทับใจจริงๆ มีภาพมาให้ดูด้วยแหละ

2) ได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่นวัดบวรนิเวศ, ป้อมพระสุเมร, พระบรมมหาราชวัง, วัดพระแก้ว, ฯลฯ วิ่งไปดูบรรยากาศสองข้างทางไป พบว่ากรุงเทพฯ ยามเช้ามีที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ มากมาย เพียงแต่ตามปกติจะแออัดไปด้วยผู้คน รถรา และความรีบเร่งที่บดบังความสวยงามจาดสายตาเราไป วิ่งครั้งนี้สนุกดี เหนื่อยก็เดิน มีแรงก็วิ่งต่อ ไม่ต้องรีบร้อน แข่งกับใคร แข่งกับใจตัวเองเท่านั้นก็พอ

ระหว่างทาง เห็นนักวิ่งมาราธอนบางคนเป็นตะคริววิ่งต่อไม่ไหวมีเจ้าหน้าที่มาปฐมพยาบาลให้ และที่ตื่นเต้นกว่านั้น พบนักวิ่งคนหนึ่งนอนหน้าซีดบนถนน มีเจ้าหน้าที่ทำการปฐมพยาบาล และกำลังใช้เครื่องปั๊มหัวใจเพื่อช่วยชีวิต เจ้าหน้าที่บอกนักวิ่งอย่างมุงครับๆ ... ฉันเดินผ่านไป ใจก็คิดอย่าเป็นอะไรรุนแรงเลย  

... ทำให้ได้คิดว่า ความแข็งแรงมากน้อย ไม่ได้เป็นสิ่งชี้วัดว่าคุณจะไปถึงจุดหมายหรือไม่ คนที่แข็งแรงน้อยก็ถึงเป้าหมายได้ หากรู้กำลังตัวเอง รู้อาการของ"กาย"ตัวเอง ส่วนคนแข็งแรงมากที่ออกแรงมากเกินกำลังตัวเองก็พลาดได้เช่นกัน   เราต้อง รู้ตัวเอง อยู่ทุกขณะว่าเป็นอย่างไร และการทำอะไรเกินกำลังตัวเองมันกลายเป็นผลเสียในที่สุด

สำหรับฉัน...สามารถพาตัวเองเข้าถึงเส้นชัยได้สำเร็จในเวลา 1 ชั่วโมง 33 นาที 13 วินาที่ (เลขสวยยยยยยมากกกกกกกกกกก) ด้วยความภูมิใจ "ดีที่สุดแล้ว...เท่าที่เตรียมตัวมา" ความสุขของนักวิ่งทุกคนมีเท่ากัน ก็คือการวิ่งเข้าถึงเส้นชัย ส่วนที่เป็นกำไร ก็คือภาพเหตุการณ์ระหว่างทางวิ่ง ทั้งสถานที่ ผู้คน และบรรยากาศ ...นี่คือเหตุผลที่ต้องเสียตังค์มาวิ่ง คือสุขทั้งกาย และสุขทั้งใจ นั่นเอง และเรายังได้ฝึกมองข้ามความไม่พร้อม หรือปัญหาต่างๆในการจัดงานออกไปด้วย รู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดน้อยลง เห็นสิ่งดีๆรอบตัวมากขึ้น ปีหน้าก็คงไปอีก ว่าจะชักชวนพี่ๆ น้องๆ หลานๆ ไปร่วมด้วยดีกว่า ...ไปวิ่งกันนะ

หมายเลขบันทึก: 147991เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2007 19:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 12:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

พี่แนมเวลาดีกว่าอุ๊อีก 1:34 น่ะ เกินเวลาที่กำหนด ดีนะที่มีเหรียญเหลือ (สะสมไว้น่ะ)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท