หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ดิฉันเดินลัดเลาะไปด้านหลัง ได้พบกับกลุ่มแม่บ้านนั่งอยู่ประมาณ 3-4 คน ทักทายพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ถึงที่มาที่ไปของกลุ่ม มีประโยคหนึ่งที่ทำให้ชวนหาคำตอบ “กลุ่มนี้พวกเราสร้างขึ้นเอง ไม่เกี่ยวกับราชการทำให้น่ะ” อืม !!! น่าสนใจกับประโยคที่ชวนให้ค้นหาจริง ๆ เขากล้าพูดขนาดนี้ได้คงไม่ธรรมดาเสียแล้วล่ะ
ชุมชนไสต้นทง ไส ภาษาใต้ แปลว่า ป่าละเมาะ ตั้งอยู่ที่ตำบลท้ายสำเภา อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช เส้นทางของชุมชนสร้างสุขแห่งนี้ เริ่มขึ้นจาก ประธานกลุ่ม อ.สมพงศ์ สงวนพงศ์ อดีตข้าราชการครูที่เกษียณก่อนกำหนด เพราะรู้สึกอึดอัดกับระบบการศึกษา อาจารย์เกริ่นให้ฟังว่า ระหว่างที่เป็นครูนั้นได้คลุกคลีกับเด็กนักเรียน พานักเรียนทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็มักมีคำถามในใจกับระบบใหญ่ทั้งระบบของ “การศึกษา” ว่ามันใช่หรือเป็นแนวทางที่ถูกต้องจริงหรือ ทำไมการศึกษาจึงทำให้คนหันหลังทิ้ง “ถิ่น” ของตนมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไปคำถามในใจดูจะชัดเจนขึ้นทุกทีเช่นกัน แต่ไม่เคยชัดในคำตอบที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ อาจารย์จึงคิดว่าเราน่าจะเริ่มจากตัวเองนี่แหละ จะต้องมีโรงเรียนของตัวเอง ไม่ใช่โรงเรียนที่หวังเอากำไรแต่อย่างใด หากแต่เป็น “โรงเรียนชีวิต” เมื่อกลับมาหันดูบ้านหรือชุมชนที่ตนเองอยู่ ก็ยังอยู่ในสภาพติดลบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็ก เยาวชน ที่เมื่อไปเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วกลายเป็นเด็กที่ “ไม่รู้จักหวัน” คือไม่จักตะวัน หมายถึงไม่รู้เรื่องราวอะไร เอาแต่สนุกสนาน
เมื่อให้เวลาตนเองพิจารณาใคร่ครวญ ก็พอจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์อยู่บ้าง ไปปรึกษาพระอาจารย์สุวรรณ วัดป่ายาง เรื่องการทำปุ๋ยหมัก นับว่าเป็นกิจกรรมแรก ๆ ที่ดึงเอาญาติพี่น้องมาร่วมกันทำก่อน เมื่อทำ ๆ ไปก็เริ่มคิดต่อว่ากลุ่มของเราคงไม่น่าจะเป็นการรวมกลุ่มเรื่องปุ๋ยอย่างเดียว น่าจะมีกิจกรรมอื่นมาต่อยอดในความเป็น “กลุ่ม” ที่เริ่มเหนียวแน่นของเราได้ จึงได้รวมตัวกับพรรคพวกที่มี “ใจ” คล้าย ๆ กันมาร่วมกันคิดทำ “ค่ายเด็ก” ค่ายนี้จัดขึ้นช่วงปิดเทอม เอาลูกหลานในชุมชนญาติพี่น้องนั่นแหละ เพราะพูดกันง่ายดี เอาเด็ก อายุตั้งแต่ 9-12 ปีมาเข้าค่ายประมาณ 20 กว่าคน 5 วัน 4 คืน พ่อแม่ไม่ต้องเสียเงิน อยากให้ลูกได้กินอะไรก็เอามาสมทบ การเข้าค่ายครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัว ชุมชน อาจารย์มีความเชื่อว่า “ถ้าครอบครัวอบอุ่น จะทำอะไรก็ไม่ยาก” ปรากฎว่าพอทำค่ายได้เห็นสิ่งที่ตามมาเกินคาด นั่นคือ พ่อก็มาเตรียมสถานที่ แม่มาอยู่ในครัวทำกับข้าว คนแก่คนเฒ่ามาเล่าเรื่องเก่า ๆ ให้ลูกหลานฟัง เรียกว่าทุกฝ่ายมีส่วนร่วม กิจกรรมเข้าค่ายก็ไม่ได้คิดอะไรไกลตัว เน้นให้เด็ก ๆ ได้รู้จักตัวเอง รู้จักชุมชน รู้จักโลก และที่สำคัญ “รู้ดี รู้ชั่ว” เพื่อเป็นภุมิคุ้มกันนั่นเอง โครงการค่ายเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีความสัมพันธ์ ความอบอุ่นในครอบครัว ชุมชน เป็นน้ำหล่อเลี้ยง
ชุมชนสร้างสุขบ้านไสตันทง ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในใจของคนในชุมชนนั้นเอง ไม่ว่าจะเรื่อง พ่อ แม่ ลูก ดนตรี กีฬา โดยเฉพาะเรื่องดนตรี มีการนำดนตรีพื้นบ้าน “วงไหดำ” มาเป็นจุดขาย เด็ก ๆ เริ่มสนใจและเริ่มหัดกันอย่างเอาจริง จนทุกวันนี้สามารถออกงานได้อย่างสบาย เรียกว่า “วงไหดำจิ๋ว” จิ๋ว หมายถึง สมาชิกในวงเป็นเด็ก ๆ หาใช่ไหใบจิ๋วไม่
ความเข็มแข็งของกลุ่มสะท้อนได้จากคำพูดของสมาชิก ที่มาจากฐานคิดที่เข้มแข็ง อ.สมพงศ์ เล่าว่าที่กลุ่มของเราเข็มแข็งมาขนาดนี้ เรามีหลักคิดทียึดเหนี่ยวที่ว่า “ งานหรือกิจกรรมใดที่เข้ามาในกลุ่ม ถ้าดูแล้วจะทำให้กลุ่มไม่มีความสุข เราจะต้องให้กลุ่มตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ” นั่นเข้าไปไร หากสิ่งที่คนในชุมชนช่วยกันสร้างขึ้นด้วย “พลัง” ของตนเองอย่างแท้จริง ก็มั่นใจและกล้าที่จะประกาศความมีศักดิ์ศรีของตนเองได้อย่างไม่อายใคร
พวกเราลาจากชุมชนสร้างสุขบ้านไสต้นทง ด้วยความอิ่มท้อง อิ่มสมอง และอิ่มใจ อย่างสุดดดด
ดีจังค่ะเรื่องดีๆอย่างนี้ใครมี ใครพบต้องช่วยกันมาเล่าให้ได้รู้กันกว้างไกลออกไป อย่างที่อาจารย์วิจารณ์เรียกว่าเป็น "ยุทธศาสตร์ขยายความดี"
สังคมเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สังคมเป็นสุขสงบ ต้องมีคนที่กล้าคิดอะไรแตกต่างอย่างกลุ่มชุมชนไสต้นทงนี้ และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่
มีความสุขค่ะที่ได้อ่านและ เป็นความสุขที่เห็นสิ่งดีๆเกิดบนผืนแผ่นดินไทยของเราที่ทวนกระแสเช่นนี้ ต้องช่วยกันให้กำลังใจกันค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์นุช