เที่ยวนี้ผมมีโอกาส ไปบันทึกเทปสารคดี "มหาวิทยาลัยชีวิต" ที่ จังหวัดสงขลา ก็ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ดี ๆ ของ ดร.ครูชบ ยอดแก้ว ที่เครือข่ายกองทุนสัจจะลดรายจ่ายวันละ ๑ บาท
ประเด็นน่าจะอยู่ที่ว่า เมื่อครูชบ มักจะบอกว่าการทำกลุ่มออมทรัพย์ จะทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้การจัดการงาน และเงินในชุมชนได้อย่างดี เป็นทั้งบทเรียนที่ไม่ควรพลาด
และประสบการณ์การนำเอาหลักของการบริหารเงินมาสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนได้ เช่น เป็นสวัสดิการเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งกระทำได้ตั้งแต่ปีแรกของการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์นั้นหมายถึง ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนำมาเป็นสวัสดิการของสมาชิกกลุ่มฯ
แต่ในชุมชนที่ได้ความรู้มาคล้ายกันแต่นำไปใช้เรื่องของสวัสดิการมากกว่าการปันผม เช่นธนาคารชีวิตของวัดอู่ตะเภา หรือของวัดดอน ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก็ดำเนินมากว่า ๒๐ ปี เหมือนกัน เน้นเรื่องการมีสัจจะวันละ บาทเหมือนกันปัจจุบันยังเพียงพอต่อสวัสดิการของชาวบ้าน (เงินหมุนเวียน ประมาณ ๔ ล้านบาท) แต่พอเป็นเครือข่ายกันทั้งจังหวัด ก็มีการแลกเปลี่ยนกัน แต่ธนาคารชีวิต และเครือข่ายสัจจะลดรายจ่ายวัน ๑ บาท เป็นเรื่องเดียวกัน ทางออกของพระครูพิพัฒนโชติ (พระอาจารย์ทอง) เจ้าอาวาสวัดดอน คือ อาจจะลองปรึกษากับคณะกรรมการธนาคารชีวิตว่า ของเราทำเงิน ๑ บาท แล้วจัดสวัสดิการของสมาชิกในกลุ่มเรา ถ้าเราปรับเป็น ๒ บาท บาทแรกก็ทำในกลุ่มเหมือนเดิม แต่บาทสองไปรวมกับเครือข่ายจังหวัดน่าจะได้สวัสดิการมากกว่า และขยายผู้ที่เราได้ช่วยเหลือออกไปอีก ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจดี ....
ปีหน้าที่ธนาคารชีวิตเข้าร่วมเครือข่ายสัจจะลดรายจ่ายวันละบาท ทางกลุ่มธนาคารชีวิต คงต้องปรับเป็นการเก็บสัจจะวันละสองบาทแทนหนึ่งบาทของเก่า แต่การบริหารจัดการคงเหมือนเดิม ส่วนอีกบาทคงตัดยอดมาคิดที่เครือข่ายจังหวัดแทนครับ น่าสนใจครับความคิดนี้
ไม่มีความเห็น